*ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มที่ 2 Obstructive sleep apnea เกิดจากภาวะอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งพบได้มากกว่ากลุ่มที่ 1 มาก ในที่นี้เมื่อกล่าวถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับก็มักจะหมายถึงกลุ่มที่ 2 นี้
- อายุ คนที่มีอายุมาก เนื้อเยื่อและกล้ามเนื้อหย่อนยาน ทำให้ช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอแคบลง ลิ้นไก่และลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย โรคนี้พบบ่อยในคนอายุ 40-70 ปี
- เพศ พบภาวะนี้ในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เชื่อว่าฮอร์โมนเพศหญิงมีส่วนช่วยทำให้กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ขยายช่องทางเดินหายใจมีความตึงตัวที่ดีกว่า จึงมีการอุดกั้นทางเดินหายใจน้อยกว่าผู้ชาย แต่หลังวัยหมดประจำเดือนผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้พอ ๆ กับผู้ชาย
- ลักษณะโครงสร้างของกระดูกใบหน้า คนที่มีลักษณะคางสั้น กระดูกใบหน้าแบน จะมีช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบกว่าปกติ
- ความอ้วน คนที่อ้วนจะมีการสะสมไขมันมากที่ลำคอและทรวงอก ทำให้ช่องทางเดินหายใจส่วนต้นแคบลง และการเคลื่อนไหวของหน้าอกน้อยกว่าปกติ
- การบริโภคแอลกอฮอล์ ยากลุ่มประสาทและยานอนหลับ ทำให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ รวมทั้งบริเวณลำคออ่อนแรง เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย
- การสูบบุหรี่ ทำให้ระบบทางเดินหายใจมีประสิทธิภาพลดลง
- กรรมพันธุ์ อาจพบว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นด้วย
- โรคประจำตัว เช่น หืด หวัดภูมิแพ้ ติ่งเนื้อเมือกจมูก ผนังกั้นจมูกคด พาร์กินสัน ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง เป็นต้น
- ในเด็ก อาจเกิดจากทอนซิลโต ต่อมอะดีนอยด์โต หรือมีความผิดปกติแต่กำเนิด (เช่น ใบหน้าเล็ก ลิ้นใหญ่)
ผู้ป่วยจะรู้สึกนอนหลับไม่สนิท นอนกระสับกระส่าย นอนอ้าปากหายใจให้ได้อากาศ หรือสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ และเวลาตื่นขึ้นมารู้สึกคอแห้งหรือเจ็บคอ
หลังตื่นนอนตอนเช้ามักมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย รู้สึกนอนไม่เต็มอิ่ม ทั้งที่มีเวลานอนนานเพียงพอ
นอกจากนี้ หากปล่อยให้เป็นเรื้อรังนาน ๆ โดยไม่ได้รับการรักษา อาจพบภาวะแทรกซ้อน เช่น
- ความดันโลหิตสูง เนื่องจากมีการหลั่งสารอะดรีนาลินออกมาในร่างกายมากกว่าปกติ พบได้ประมาณร้อยละ 50 ของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
- เบาหวานชนิดที่ 2 เนื่องจากภาวะหยุดหายใจขณะหลับเพิ่มโอกาสของการเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance)
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (อาจเต้นช้าหรือเร็วกว่าปกติ) โรคหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง ความดันในปอดสูง (pulmonary hypertension ซึ่งเป็นต้นเหตุของภาวะหัวใจซีกขวาล้มเหลว)
- ผู้ที่มีโรคหัวใจขาดเลือดอยู่ก่อน ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอาจส่งผลให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
- ตับมีความผิดปกติ เช่น มีเอนไซม์ตับ (AST, ALT) สูง และภาวะไขมันสะสมในตับ
- ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction/ED)
- ความผิดปกติทางจิตประสาท เช่น ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลง โรคซึมเศร้า เป็นต้น
- อาการนอนกรนเสียงดังยังส่งผลต่อปัญหาสังคม คือ อาจเป็นเหตุของการหย่าร้างระหว่างสามีภรรยา
- ในเด็ก อาจทำให้พัฒนาการของร่างกายและสมองแย่ลง ฮอร์โมนเจริญเติบโต (growth hormone) มีปริมาณลดลง ทำให้มีความสูงน้อยกว่าเด็กปกติ ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หรือปัสสาวะรดที่นอน นั่งสัปหงกในห้องเรียน ไม่มีสมาธิในการเรียน ผลการเรียนไม่ดี
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย
การตรวจร่างกายขณะตื่นนอนตอนกลางวัน มักไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน ยกเว้นบางคนอาจตรวจพบว่ามีรูปร่างอ้วน ความดันโลหิตสูง
การตรวจร่างกายขณะนอนหลับ จะพบอาการกรนเสียงดัง และมีภาวะหยุดหายใจ หรือหายใจแผ่วเป็นช่วง ๆ
- การลดน้ำหนักตัว ควรลดให้ได้มากกว่าร้อยละ 10 อาจมีผลทำให้หายขาดในผู้ป่วยบางรายได้
- หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำให้ร่างกายแข็งแรง มีส่วนช่วยให้อาการทุเลาได้ แม้ว่าจะมีน้ำหนักตัวเกิน
- หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้ทางเดินหายใจอุดกั้นได้ง่าย และหยุดหายใจนานขึ้น
- พยายามนอนในท่าตะแคง หรือท่าที่ทำให้อาการลดลง (สมัยก่อนมีการใช้ถุงใส่ลูกเทนนิส 3-4 ลูกติดไว้ด้านหลังของเสื้อนอน เพื่อบังคับให้ผู้ป่วยนอนตะแคง)
- งดสูบบุหรี่
- การใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรม ช่วยเพิ่มขนาดของทางเดินหายใจในช่วงนอนหลับ วิธีนี้ใช้ได้ผลในรายที่เป็นไม่รุนแรง
- การใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (continuous positive airway pressure/CPAP) เพื่อช่วยหายใจขณะนอนหลับ มีลักษณะเป็นหน้ากากใช้สวมจมูกเวลานอน สามารถใช้รักษาผู้ป่วยที่เป็นรุนแรง และได้ผลในการแก้ภาวะนี้ได้มากกว่าร้อยละ 90
- การผ่าตัดขยายทางเดินหายใจให้กว้างขึ้น ซึ่งมีอยู่หลายวิธี แพทย์จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพปัญหาของผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนเด็กที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับเนื่องจากทอนซิลโตหรือต่อมอะดีนอยด์ (adenoid) โต ก็รักษาด้วยการผ่าตัดทอนซิลหรือต่อมอะดีนอยด์
- ดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- ปรับพฤติกรรมที่มีส่วนช่วยในการรักษาโรคอย่างจริงจัง ได้แก่ ลดน้ำหนักตัว ออกกำลังกายเป็นประจำ หลีกเลี่ยงการบริโภคแอลกอฮอล์และยานอนหลับก่อนเข้านอน งดสูบบุหรี่ พยายามนอนในท่าตะแคง
- สงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น
สำหรับกลุ่มที่มีสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคประจำตัวและพฤติกรรม อาจป้องกันหรือทำให้โรคทุเลาได้ด้วยการปฏิบัติตัว ที่สำคัญคือ การออกกำลังกาย การลดน้ำหนัก การไม่บริโภคสุราและยาสูบ และการควบคุมโรค (เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หวัดภูมิแพ้ หืด ภาวะขาดไทรอยด์ เป็นต้น)