- ความดันโลหิตปกติ หมายถึง ความดันช่วงบนมีค่าต่ำกว่า 130 มม.ปรอท และความดันช่วงล่างมีค่าต่ำกว่า 85 มม.ปรอท
- ความดันโลหิตสูง (ความดันเลือดสูง ความดันสูง ก็เรียก) หมายถึง ความดันช่วงบนมีค่าตั้งแต่ 140 มม.ปรอทขึ้นไป และ/หรือความดันช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 90 มม.ปรอทขึ้นไป
1. ส่วนใหญ่ (ประมาณร้อยละ 95) จะไม่พบโรคหรือภาวะผิดปกติหรือสิ่งที่เป็นต้นเหตุของความดันโลหิตสูง เรียกว่า ความดันโลหิตสูงชนิดปฐมภูมิ (primary hypertension) หรือความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ (essential hypertension)
แต่อย่างไรก็ตาม มักพบว่าปัจจัยทางกรรมพันธุ์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค กล่าวคือ ผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ จะมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติดังกล่าวประมาณ 3 เท่า
นอกจากนี้ อายุมาก ความอ้วน การกินอาหารเค็มจัดหรือมีเกลือโซเดียมสูง และการดื่มแอลกอฮอล์จัด ก็อาจเป็นปัจจัยเสริมของการเกิดโรคนี้
ผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะเริ่มเป็นโรคความดันโลหิตสูงเมื่ออายุประมาณ 25-55 ปี พบมากในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และยิ่งอายุมากขึ้นก็มีโอกาสพบได้มากขึ้น
2. ส่วนน้อย (ประมาณร้อยละ 5) อาจตรวจพบโรคหรือภาวะผิดปกติหรือสิ่งที่เป็นสาเหตุของความดันโลหิตสูง เรียกว่า ความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ (secondary hypertension) หรือความดันโลหิตสูงชนิดมีสาเหตุ
ผู้ป่วยกลุ่มนี้อาจมีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- ความดันช่วงบน ≥ 180 หรือช่วงล่าง ≥ 110 มม.ปรอท
- มีความดันโลหิตสูงซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที
- ความดันโลหิตสูงเกิดขึ้นก่อนอายุ 30 ปี หรือหลังอายุ 50 ปี
- พบภาวะแทรกซ้อนร่วมด้วย เช่น หัวใจห้องล่างซ้ายโต มีค่าครีอะตินีนในเลือด > 1.5 มก./ดล.
- จอตาเสื่อม (hypertensive retinopathy) ระดับ 3 หรือ 4
- คุมความดันไม่ได้หลังจากเคยคุมได้ดีมาก่อน หรือใช้ยาลดความดันหลายชนิดแล้วยังคุมความดันไม่ได้
- มีอาการที่สงสัยว่าเป็นความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ
3. ความดันช่วงบนสูงเดี่ยว มักพบในผู้สูงอายุ (ยิ่งอายุมาก ก็ยิ่งมีโอกาสพบได้มากขึ้น) โรคคอพอกเป็นพิษ ภาวะหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ (coarctation of aorta) ลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว (aortic insufficiency)
นอกจากนี้ อาจทำให้เกิดภาวะจุดภาพชัดเสื่อมตามวัย โรคหลอดเลือดแดงหลักของจอตาอุดตัน ทำให้สายตาพิการได้
แพทย์จะวินิจฉัยจากการตรวจพบค่าความดันเฉลี่ยจากการวัดที่สถานพยาบาลตั้งแต่มาพบแพทย์ครั้งแรกเป็นหลัก โดยทำการวัดความดันในท่านั่ง อย่างน้อย 2 ครั้ง (ห่างกัน 1-2 นาที) แล้วหาค่าเฉลี่ย ถ้าพบว่าค่าความดันเฉลี่ยสูงกว่าปกติ คือ ความดันโลหิตช่วงบนมีค่าตั้งแต่ 140 มม.ปรอทขึ้นไป และ/หรือความดันช่วงล่างมีค่าตั้งแต่ 90 มม.ปรอทขึ้นไป ก็จะวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง
แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย ซึ่งส่วนใหญ่ไม่พบความผิดปกติชัดเจน ยกเว้นในรายที่เป็นความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ อาจพบอาการของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น
- ชีพจรเร็ว มือสั่น ต่อมไทรอยด์โตในรายที่มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินหรือคอพอกเป็นพิษ
- ชีพจรที่ขาหนีบคลำไม่ได้หรือคลำได้แผ่วเบาในผู้ป่วยที่มีหลอดเลือดแดงใหญ่ตีบ
- คลำได้ก้อนในท้องส่วนบน 2 ข้าง ในผู้ป่วยที่เป็นโรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุง
- ใช้เครื่องฟังได้ยินเสียงฟู่ (bruit) ที่หน้าท้องตรงบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือซ้าย ในผู้ป่วยที่มีภาวะหลอดเลือดแดงไตตีบ
- ได้ยินเสียงฟู่ (murmur) ตรงลิ้นหัวใจเอออร์ติก ในผู้ป่วยที่มีลิ้นหัวใจเอออร์ติกรั่ว
- รูปร่างอ้วนฉุ หน้าอูม มีไขมัน (หนอกควาย) ที่หลังคอ อาจมีประวัติกินยาสเตียรอยด์ ยาชุด หรือยาลูกกลอน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคคุชชิง เป็นต้น
1.1 ความดันช่วงบน 130-139 และ/หรือความดันช่วงล่าง 85-89 มม.ปรอท แนะนำให้ปรับพฤติกรรมเป็นหลัก และอาจให้ยาลดความดันในรายที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือดร่วมด้วย
1.2 ความดันช่วงบน 140-159 และ/หรือความดันช่วงล่าง 90-99 มม.ปรอท แนะนำให้ปรับพฤติกรรม และให้ยาลดความดันในกลุ่มเสี่ยงกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ (1) ผู้ที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด (2) ผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง (3) ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ ผู้ที่เป็นเบาหวาน ผู้ที่มีร่องรอยการทำลายของอวัยวะจากโรคความดันโลหิตสูง หรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดใน 10 ปี (10-year Thai CV risk score)**
สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยง แพทย์จะให้ยาลดความดัน เมื่อลองปรับพฤติกรรมและติดตามนาน 3-6 เดือนแล้วความดันยังไม่ลดได้เป็นปกติตามเป้าหมาย
1.3 ความดันช่วงบน 160-179 และ/หรือความดันช่วงล่าง 100-109 มม.ปรอท แนะนำให้ปรับพฤติกรรม และให้ยาลดความดันในกลุ่มเสี่ยง (ดังในข้อ 1.2)
สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มเสี่ยง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาลดความดันในผู้ที่มีญาติสายตรงเป็นโรคความดันโลหิตสูงหลายคน ผู้ที่มีอาการ (เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ใจสั่น) หรือผู้ที่มีความวิตกกังวลต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงค่อนข้างมาก
1.4 ความดันช่วงบน ตั้งแต่ 180 และ/หรือความดันช่วงล่างตั้งแต่ 110 มม.ปรอทขึ้นไป แนะนำให้ปรับพฤติกรรม และให้ยาลดความดัน
1.5 สำหรับผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป แพทย์จะเริ่มให้ยาลดความดันเมื่อมีความดันช่วงบนตั้งแต่ 160 มม.ปรอทขึ้นไป และ/หรือความดันช่วงล่างตั้งแต่ 90 มม.ปรอทขึ้นไป
ถ้าหากผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงมากเนื่องจากเคยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด (เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง) แพทย์อาจพิจารณาเริ่มให้ยาลดความดันเมื่อมีความดันช่วงบนตั้งแต่ 140 มม.ปรอทขึ้นไป
1.6 เป้าหมายของการลดความดันโลหิต ในผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 65 ปี ที่เป็นความดันโลหิตสูงเพียงอย่างเดียว หรือมีโรคเรื้อรังร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง) ความดันที่วัดที่สถานพยาบาล ควรให้ค่าความดันช่วงบนอยู่ที่ 120-130 และช่วงล่างอยู่ที่ 70-79 มม.ปรอท
ในผู้ป่วยอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป ที่เป็นความดันโลหิตสูงเพียงอย่างเดียว หรือมีโรคเรื้อรังร่วมด้วย (เช่น เบาหวาน โรคไตเรื้อรัง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง) ความดันที่วัดที่สถานพยาบาล ควรให้ค่าความดันช่วงบนอยู่ที่ 130-139 และช่วงล่างอยู่ที่ 70-79 มม.ปรอท
- วัดความดันไม่ถูกต้อง
- สั่งให้ยาลดความดันในขนาดน้อยไป
- ผู้ป่วยไม่ยอมกินยาตามสั่ง
- กินอาหารที่มีโซเดียมสูง
- ใช้ยาที่ทำให้ความดันโลหิตสูง
- น้ำหนักตัวขึ้นมาก (อ้วน)
- ดื่มแอลกอฮอล์จัด
- เป็นความดันโลหิตสูงชนิดทุติยภูมิ
4. การรักษาโรคที่พบร่วม ในรายที่มีโรคหรือภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เป็นต้น แพทย์ก็จะให้ยารักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไปด้วย
**ดูเพิ่มเติมที่ https://med.mahidol.ac.th/cardio_vascular_risk/thai_cv_risk_score/tcvrs_en.html
- ดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- หมั่นวัดความดันที่บ้านหรือสถานพยาบาลใกล้บ้านประมาณเดือนละ 1-2 ครั้ง
- กินยาลดความดันให้ครบถ้วนตามคำแนะนำของแพทย์ ไม่ปรับยาเองตามใจชอบ แม้ว่าจะรู้สึกสบายดีแล้วก็ตาม (ความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการแสดงให้รู้สึก ควรดูผลว่าดีหรือไม่ด้วยการวัดความดันเท่านั้น)
- หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง เพราะยาบางชนิด (เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้ข้ออักเสบ ยาชุดหรือยาลูกกลอนที่ผสมยาสเตียรอยด์) อาจทำให้ความดันสูงได้
- ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือสารสกัดจากสมุนไพรที่อาจส่งผลให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้ เช่น ชะเอม, ชะเอมเทศ, ส้มขม, มาฮวง, โยฮิมบี เป็นต้น
- หมั่นปฏิบัติตัวในการควบคุมโรคอย่างจริงจัง (อ่านเพิ่มที่ "การปรับพฤติกรรมเพื่อควบคุมความดันโลหิตสูง และป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด" หัวข้อการรักษาโดยแพทย์ ด้านบน)
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- วัดความดันแล้วพบว่าสูงต่อเนื่องกัน 2-3 ครั้ง
- ขาดยาหรือยาหาย
- มีอาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ หรือหน้ามืดนานเป็นวัน ๆ หรือลุกขึ้นนั่งหรือยืนรู้สึกจะเป็นลม
- มีอาการเจ็บจุกแน่นหน้าอก พูดอ้อแอ้ ปากเบี้ยว หรือแขนขาชาหรืออ่อนแรง
- มีอาการเบื่ออาหารหรือกินอาหารได้น้อยนานหลายวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ (เพราะอาจเกิดภาวะความดันต่ำเกินจากยาที่กินได้)
- สังเกตพบมีอาการที่สงสัยว่าอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยา เช่น อ่อนเพลีย ท้องอืด ท้องผูก (มักเกิดจากยาขับปัสสาวะ), ไอเรื้อรัง (มักเกิดจากยาต้าเอซ เช่น อีนาลาพริล) เท้าบวม (มักเกิดจากยาต้านแคลเซียม เช่น แอมโลดิพีน) หรือกินยาแล้วมีอาการผิดสังเกตอื่น ๆ เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น