- สารก่อภูมิแพ้ เช่น ละอองหญ้า วัชพืช ละอองเกสรดอกไม้ ไรฝุ่นบ้าน (พบอยู่ตามพรม ที่นอน เฟอร์นิเจอร์หรือของเล่นที่ทำด้วยนุ่น หรือเป็นขน ๆ) เชื้อรา (พบสปอร์ตามพุ่มไม้ ในสวน ห้องน้ำ ห้องครัว ในที่ชื้น) แมลงสาบและสัตว์เลี้ยงในบ้าน (สารก่อภูมิแพ้อยู่ในน้ำลาย ขุยหนังที่ลอกหรือรังแค ขนสัตว์ ปัสสาวะ และมูลสัตว์) อาหาร (ได้แก่ นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนมวัว ไข่ กุ้ง หอย ปู ปลา ถั่วลิสง งา สีผสมอาหาร สารกันบูดในอาหาร)
- สิ่งระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ควันท่อไอเสีย ควันไฟ ควันธูป ฝุ่นละออง มลพิษในอากาศ (ก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของรถยนต์ ก๊าซโอโซนที่พบมากในเมืองใหญ่) สเปรย์ ยาฆ่าแมลงหรือวัชพืช อากาศเย็นหรืออากาศเปลี่ยน กลิ่นฉุด ๆ สารเคมี (ภายในบ้าน ที่ทำงาน และโรงงาน)
- ยา ได้แก่ แอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตา
- การติดเชื้อของทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ หลอดลมอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ เป็นต้น
- การออกกำลังกาย อาจชักนำให้เกิดอาการหอบหืดกำเริบในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การออกกำลังจนเหนื่อยหรือหักโหมเกินไป
- ความเครียดทางจิตใจ เช่น ความเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ การงาน ครอบครัว รวมทั้งอารมณ์ซึมเศร้า ความเศร้าโศกจากการสูญเสียคนที่รัก เป็นต้น
- ฮอร์โมนเพศ พบว่าผู้หญิงระยะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ (puberty) ระยะก่อนมีประจำเดือน หรือขณะตั้งครรภ์ มักมีโรคหืดกำเริบ (ในช่วงสัปดาห์ที่ 24-36 ของการตั้งครรภ์)
- โรคกรดไหลย้อน น้ำย่อยหรือกรดที่ไหลย้อนลงไปในหลอดลมอาจทำให้โรคหืดกำเริบได้บ่อย
ควรสงสัยว่าเป็นโรคหืด ถ้าผู้ป่วยมีอาการข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีเสียงหายใจดังวี้ดคล้ายเสียงนกหวีดบ่อยครั้ง คือ มากกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
- มีอาการไอ รู้สึกเหนื่อยง่าย หรือมีเสียงหายใจดังวี้ดขณะวิ่งเล่น หรือออกกำลังกาย
- ไอตอนกลางคืน โดยที่ไม่ได้เป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
- มีอาการต่อเนื่องหลังอายุ 3 ปี
- อาการกำเริบหรือเป็นมากขึ้น เมื่อมีสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้น เช่น ละอองเกสร ขนสัตว์ สเปรย์ บุหรี่ ไรฝุ่นบ้าน ยา การติดเชื้อทางเดินหายใจ ออกกำลังกาย ความเครียด
- เวลาเป็นไข้หวัดมีอาการต่อเนื่องนานเกิน 10 วัน หรือมีอาการไอรุนแรง หรือไอนานกว่าคนอื่นที่เป็นไข้หวัด
- อาการดีขึ้นเมื่อใช้ยารักษาโรคหืด
- มีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคหืดหรือโรคภูมิแพ้อื่น ๆ เช่น หวัดภูมิแพ้ ผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก
การตรวจร่างกายขณะที่ไม่มีอาการ มักจะไม่พบสิ่งผิดปกติ
PEF (peak expiratory flow) หมายถึง อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)
- ไม่ตอบสนองต่อการรักษาข้างต้นภายใน 1-2 ชั่วโมง มีอาการหอบต่อเนื่องมานานหลายชั่วโมง หรือมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย
- มีอาการหอบรุนแรง ซี่โครงบุ๋ม ปากเขียว มีอาการสับสน ซึม หรือพูดไม่เป็นประโยค
- มีประวัติเคยเป็นโรคหืดรุนแรง เคยรับการรักษาในห้องอภิบาลผู้ป่วย (ไอซียู) เนื่องจากโรคหืดมาก่อน กำลังกินหรือเพิ่งหยุดกินยาสเตียรอยด์ หรือใช้ยาบีตา 2 ออกฤทธิ์สั้นสูดบ่อยกว่าทุก 3-4 ชั่วโมง
- มีอาการหอบเหนื่อยที่สงสัยว่าเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่น ๆ เช่น เช่น มีไข้และใช้เครื่องฟังตรวจปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) หรือสงสัยว่าเป็นปอดอักเสบ หรือหลอดลมฝอยอักเสบ, มีอาการเท้าบวม หลอดเลือดคอโป่ง ความดันโลหิตสูง หรือสงสัยมีภาวะหัวใจวาย, มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง มีประวัติเป็นโรคหัวใจ หรือสงสัยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นต้น ในกรณีนี้ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ปอด ตรวจสมรรถภาพของปอด ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ ตรวจคลื่นหัวใจ เป็นต้น
- ให้ออกซิเจน และสารน้ำ (น้ำเกลือ)
- ให้ยาขยายหลอดลม ออกฤทธิ์สั้น ชนิดสูด
- ให้สเตียรอยด์ชนิดสูดในขนาดสูงกว่าเดิม
- ในรายที่มีอาการรุนแรงปานกลางและมากให้สเตียรอยด์ชนิดฉีดหรือกิน
- เมื่ออาการดีขึ้น (มักได้ผลภายใน 36-48 ชั่วโมง) ก็ให้กินต่อจนครบ 5 วัน
- ในรายที่หอบรุนแรงจนเกิดภาวะทางเดินหายใจล้มเหลว อาจต้องใส่ท่อหายใจและเครื่องช่วยหายใจและแก้ไขภาวะผิดปกติต่าง ๆ พร้อมกัน
(2) ให้ยารักษาโรคหืด ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มยาบรรเทาอาการ ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ขยายหลอดลม (เช่น ยากระตุ้นบีตา 2) และกลุ่มยาควบคุมโรค ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ช่วยลดการอักเสบและการบวมของผนังหลอดลม (เช่น ยาสเตียรอยด์) แพทย์จะเลือกใช้ชนิดและขนาดของยาตามระดับของการควบคุมโรค ดังนี้
- กลุ่มควบคุมได้ ให้การรักษาตามขั้นตอนเดิมต่อไปอย่างน้อย 3 เดือน แล้วค่อย ๆ ปรับลดยาลงทีละน้อย จนกว่าจะใช้การรักษาขั้นที่ต่ำสุดที่ยังสามารถควบคุมอาการได้
- กลุ่มควบคุมได้บางส่วน และกลุ่มควบคุมไม่ได้ แพทย์จะปรับเพิ่มขั้นตอนการรักษาจนกว่าจะสามารถควบคุมอาการได้ภายใน 1 เดือน โดยก่อนปรับยา จะทบทวนว่าผู้ป่วยมีการใช้ยาตามสั่ง และใช้ถูกวิธีหรือไม่ รวมทั้งได้หลีกเลี่ยงสาเหตุกระตุ้นหรือไม่ และแก้ไขให้ถูกต้องเสียก่อน
(4) แนะนำให้หลีกเลี่ยงสิ่งเร้าหรือสาเหตุกระตุ้นและการปฏิบัติตัวต่าง ๆ (อ่านเพิ่มเติมที่หัวข้อ "การป้องกัน" ด้านล่าง)
PEF (peak expiratory flow) หมายถึง อัตราการไหลของลมหายใจออกสูงสุด หลังจากสูดหายใจเข้าเต็มที่ โดยใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter)
** บางครั้งก็เรียกว่า อิมมูนบำบัด (immunotherapy) โดยการฉีดยาทดสอบว่าแพ้สารอะไร แล้วฉีดสารนั้นทีละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เพื่อลดการแพ้ วิธีนี้ใช้ได้ผลดีในเด็ก ส่วนในผู้ใหญ่ได้ผลไม่สู้ดี ข้อเสียคือ ต้องใช้เวลารักษานาน ราคาแพง และอาจมีอาการแพ้ที่รุนแรงถึงขั้นเกิดภาวะช็อกจากการแพ้ (anaphylactic shock) หรือโรคหืดกำเริบรุนแรงได้ จำเป็นต้องฉีดในที่ ๆ มีความพร้อมในการช่วยเหลือถ้าเกิดการแพ้ โดยหลังฉีดสารบำบัดแต่ละครั้งควรเฝ้าสังเกตดูอาการอย่างน้อย 30 นาที
- ติดตามรักษากับแพทย์เป็นประจำ ตรวจสมรรถภาพของปอดเป็นระยะ ใช้เครื่องวัดการไหลของลมหายใจออกสูงสุด (peak flow meter) ตรวจเองที่บ้านทุกวัน (สำหรับผู้ที่แพทย์แนะนำ) เรียนรู้วิธีใช้ยาให้ถูกต้อง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีสูดพ่นยา หากทำไม่ถูก การรักษาก็จะไม่ได้ผล) และใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ
- พกยาบรรเทาอาการติดตัวเป็นประจำ หากมีอาการกำเริบ ให้รีบสูดยา 2-4 หน (puff) ทันที ถ้าไม่ทุเลาอาจสูดซ้ำทุก 20 นาที อีก 1-2 ครั้ง ถ้ายังไม่ทุเลาควรไปพบแพทย์โดยเร็ว อย่าปล่อยให้หอบนานอาจเป็นอันตรายได้
- ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ อย่าให้ขาดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ไอมีเสมหะเหนียว หรือมีอาการหอบเหนื่อย
- ทุกครั้งที่สูดยาสเตียรอยด์ ควรบ้วนปากด้วยน้ำสะอาดทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ยาตกค้างที่คอหอย ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคเชื้อราในช่องปาก (ดู "โรคเชื้อราในช่องปาก มุมปากเปื่อยจากเชื้อรา" เพิ่มเติม)
- อย่าซื้อยาชุดหรือยาลูกกลอนมาใช้เอง เพราะยาเหล่านี้มักมีสเตียรอยด์ผสม แม้ว่าอาจจะใช้ได้ผล แต่ต้องใช้เป็นประจำ ซึ่งทำให้มีผลข้างเคียงร้ายแรงตามมาได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเคยใช้ยาเหล่านี้มานาน ห้ามหยุดยาทันที อาจทำให้มีอาการหอบกำเริบรุนแรงหรือเกิดภาวะต่อมหมวกไตวิกฤติ (ดู "โรคช็อก" เพิ่มเติม) ได้ ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพื่อหาทางค่อย ๆ ปรับลดยาลง
- ฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ (โดยการเป่าลมออกทางปาก ให้ลมในปอดออกให้มากที่สุด) เป็นประจำ จะทำให้รู้สึกปลอดโปร่งสดชื่น อาจช่วยให้อาการดีขึ้นได้
- ลดน้ำหนัก ถ้ามีน้ำหนักเกิน
- มีไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- มีอาการหอบหืดกำเริบ
- เจ็บแน่นหน้าอก
- ไอมีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียว
- มีอาการไม่สบายที่จำเป็นต้องใช้ยารักษา ห้ามซื้อยามาใช้เอง เพราะมียาหลายชนิดที่ทำให้หอบหืดกำเริบได้
- ขาดยารักษาโรคหืด เช่น ยาหาย ยาหมดก่อนวันนัด
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
- กำจัดไรฝุ่นบ้าน โดยการหลีกเลี่ยงการใช้ที่นอน หมอน ผ้าห่ม เฟอร์นิเจอร์ และของเล่นที่ทำด้วยนุ่น หรือเป็นขน ๆ ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรห่อหุ้มด้วยวัสดุกันไรฝุ่น หรือใช้วัสดุที่สามารถป้องกันไรฝุ่น (เช่น ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ผ้าม่านที่ไม่สะสมไรฝุ่น), ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งด้วยน้ำอุ่น (มากกว่า 55 องศาเซลเซียส), ไม่ควรปูพรมตามพื้นห้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในห้องนอน ถ้ายังปูพรมควรใช้เสื่อน้ำมันปูทับให้ทั่ว ให้ขอบชิดผนังห้องทุกด้าน
- หลีกเลี่ยงการเล่นคลุกคลีกับสัตว์เลี้ยง (เช่น สุนัข แมว หนู นก) ถ้าเลี้ยงสัตว์เลี้ยงควรให้อยู่นอกบ้าน อย่านำเข้ามาในบ้านและห้องนอน และควรจับอาบน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
- กำจัดแมลงสาบในบ้านโดยใช้กับดัก ถ้าใช้ยาฉีดพ่น อย่าให้ผู้ป่วยอยู่ในบ้าน เพราะยาฉีดพ่นอาจกระตุ้นให้หอบได้ ควรเก็บเศษอาหารไว้ในถุงที่มิดชิดอย่าให้แมลงสาบตอม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อรา โดยการทำความสะอาดห้องน้ำ ห้องครัว อย่าให้มีน้ำขัง ใช้พัดลมดูดอากาศ และทำให้มีการถ่ายเทอากาศได้ดี หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่อับชื้น (เช่น ห้องใต้ดิน) และพุ่มไม้ ไม่ปลูกต้นไม้ภายในบ้าน ไม่ใช้วอลเปเปอร์และพรมในห้องน้ำ
- ช่วงที่มีละอองเกสรมาก หรือตัดหญ้า ควรหลบเข้ามาอยู่ในบ้าน และปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ควรใช้เครื่องปรับอากาศ และล้างไส้กรองเดือนละครั้ง
- ถ้าจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ควรให้ผู้ป่วยกินยาแก้แพ้ก่อนออกนอกบ้าน และหลังจากกลับเข้าบ้านควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที อย่าตากเสื้อผ้าในที่กลางแจ้ง
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ การสูดควันบุหรี่ และควันต่าง ๆ ควรห้ามบุคคลในบ้านสูบบุหรี่ ห้ามใช้ฟืนในการหุงต้มและผิงไฟ
- หลีกเลี่ยงการดมกลิ่นสี น้ำหอม สเปรย์ กาว น้ำยาฆ่าเชื้อ สารเคมี เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่นและสารเคมีในโรงงานหรือที่ทำงาน โดยจัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย และใช้อุปกรณ์ป้องกัน แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้และทำให้หอบบ่อย ควรย้ายสถานที่ทำงานหรือเปลี่ยนงานที่ไม่ต้องสัมผัสกับสาเหตุกระตุ้น
- หมั่นล้างมือบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังจากหยิบจับสิ่งที่สะสมของไรฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้ (เช่น ละอองเกสร ขนสัตว์)
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และยาลดความดันกลุ่มปิดกั้นบีตา เวลาพบแพทย์ด้วยโรคอื่น ควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่าเป็นโรคหืดอยู่ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงการใช้ยาเหล่านี้
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เป็นต้น แต่ระวังอย่าให้หักโหมหรือเหนื่อยเกินไป ควรเตรียมยาขยายหลอดลมชนิดสูดไว้พร้อม ถ้าเคยมีอาการหอบหืดจากการออกกำลังกาย ควรใช้ยาสูดก่อนออกกำลัง 15-20 นาที และถ้ามีอาการกำเริบระหว่างออกกำลัง ควรหยุดพัก แล้วใช้ยาสูด จนกว่าอาการทุเลาแล้วค่อยเริ่มออกกำลังใหม่
- หาทางป้องกันหรือผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การออกกำลังกาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกโยคะ การรำมวยจีน) ทำงานอดิเรก (เช่น ปลูกต้นไม้ วาดภาพ เล่นดนตรี ฟังเพลง) สวดมนต์ ไหว้พระ ฝึกสมาธิ เจริญสติ เป็นต้น
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ บำรุงร่างกายด้วยอาหารสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
- ระมัดระวังป้องกันไม่ให้เป็นไข้หวัดและโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ และควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และวัคซีนป้องกันปอดอักเสบจากเชื้อสเตรปโตค็อกคัสนิวโมเนีย หรือนิวโมค็อกคัส (pneumococcal vaccine)