1. ถ้าเป็นท้องเดินชนิดเฉียบพลัน อาจเกิดจาก
- การติดเชื้อ ซึ่งพบได้บ่อยกว่าสาเหตุอื่น อาจเกิดจากเชื้อไวรัส (เช่น ไวรัสโรตา ไวรัสโคโรนา ไวรัสอะดีโน) เชื้อแบคทีเรีย (เช่น ชิเกลลา ไทฟอยด์ อหิวาต์) โปรโตซัว (เช่น อะมีบา ไกอาร์เดีย มาลาเรีย) หนอนพยาธิ (เช่น พยาธิแส้ม้า ทริคิเนลลาสไปราลิส)
- สารพิษจากเชื้อโรค โดยการกินพิษของเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ในอาหาร ซึ่งมักจะพบว่า ในกลุ่มคนที่กินอาหารด้วยกันมีอาการพร้อมกันหลายคน (ดู "โรคอาหารเป็นพิษ" เพิ่มเติม)
- สารเคมี เช่น ตะกั่ว สารหนู ไนเทรต ยาฆ่าแมลง เป็นต้น มักทำให้มีอาการอาเจียน ปวดท้องรุนแรง และชักร่วมด้วย
- ยา เช่น ยาถ่าย ยาลดกรด ยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรคเกาต์ (เช่น คอลชิซิน) เป็นต้น
ในกรณีที่เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ สาเหตุที่ชักนำให้เกิดอาการท้องเดินคือ ยาปฏิชีวนะเข้าไปทำลายจุลินทรีย์ที่อยู่เป็นปกติวิสัยหรือประจำถิ่น (normal flora) บางชนิดในลำไส้ใหญ่ ทำให้เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า Clostridium difficile ที่แฝงเร้นอยู่มีการเจริญเติบโตจนเกิดการอักเสบของลำไส้ใหญ่ ภาวะนี้พบบ่อยในผู้ที่ใช้ยาคลินดาไมซิน (clindamycin) ลินโคไมซิน (lincomycin) กลุ่มเพนิซิลลิน และเซฟาโลสปอริน นอกจากนี้ก็อาจพบในการใช้ยาอีริโทรไมซิน กลุ่มเตตราไซคลีน กลุ่มซัลฟา และกลุ่มควิโนโลน
- สัตว์พิษ (เช่น ปลาปักเป้า ปลาทะเล หอยทะเล คางคก) พืชพิษ (เช่น เห็ดพิษ กลอย)
2. ถ้าเป็นเรื้อรัง (ถ่ายนานเกิน 3 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย) อาจเกิดจาก
- โรคลำไส้แปรปรวน มักทำให้มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เป็นแรมเดือนแรมปี โดยที่ร่างกายแข็งแรงดี
- การติดเชื้อ เช่น บิดอะมีบา ไกอาร์เดีย วัณโรคลำไส้ พยาธิแส้ม้า เอดส์ เป็นต้น
- โรคต่อมไร้ท่อ เช่น เบาหวาน ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน
- ภาวะพร่องแล็กเทส ซึ่งเป็นเอนไซม์ย่อยน้ำตาลแล็กโทสในนม จึงทำให้เกิดอาการท้องเดินหลังดื่มนม
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease/IBD)
- การแพ้อาหาร เช่น นมวัว ไข่ ปลา กุ้ง หอย ปู ถั่วลิสง เป็นต้น ซึ่งพบได้ในคนทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก (ดู "การแพ้อาหาร" ที่หัวข้อสาเหตุ ใน "โรคลมพิษ" เพิ่มเติม)
- การดูดซึมผิดปกติ (malabsorption) เป็นภาวะที่ลำไส้ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ตามปกติ อาจเกิดจากการขาดเอนไซม์ย่อยอาหาร หรือความผิดปกติของลำไส้เล็ก ซึ่งเป็นผลมาจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น โรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง มะเร็งตับอ่อน ภาวะทางเดินน้ำดีอุดกั้น การผ่าตัดกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก หรือถุงน้ำดี การติดเชื้อของลำไส้ (ที่พบบ่อยคือ ท้องเดินจากเชื้อไกอาร์เดีย) เป็นต้น ทำให้เกิดอาการท้องเดินเรื้อรัง ถ่ายอุจจาระเหลวมีสีเหลืองอ่อน เป็นฟองลักษณะเป็นมันลอยน้ำ และมีกลิ่นเหม็นจัด (เนื่องจากไขมันไม่ถูกดูดซึม) ผู้ป่วยมักมีอาการน้ำหนักลด และอาจมีอาการของการขาดสารอาหาร เช่น ซีด บวม เป็นต้น
- เนื้องอกหรือมะเร็งของลำไส้หรือตับอ่อน
- ยา เช่น กินยาถ่ายหรือยาต้านกรดเป็นประจำก็ทำให้มีอาการท้องเดินเรื้อรังได้
- อื่น ๆ เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบ (colitis) จากการฝังแร่รักษามะเร็งปากมดลูก (ถ่ายเป็นมูกเลือดเรื้อรัง) ความเครียด การกระตุ้นหรือการไม่ย่อยของอาหาร (เช่น พริก กาแฟ แอลกอฮอล์ น้ำผลไม้)
ขึ้นกับสาเหตุที่เป็น โดยทั่วไปจะมีอาการปวดท้อง ถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง บางรายอาจมีไข้ หรือคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย หรืออาจถ่ายเป็นมูก หรือมูกปนเลือด
1. ภาวะขาดน้ำเล็กน้อย (mild dehydration) น้ำหนักตัวลดประมาณร้อยละ 5 ผู้ป่วยเริ่มรู้สึกกระหายน้ำ และอ่อนเพลียเล็กน้อย แต่อาการทั่วไปดี หน้าตาแจ่มใส เดินได้ ชีพจรและความดันเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
2. ภาวะขาดน้ำปานกลาง (moderate dehydration) น้ำหนักตัวลดประมาณร้อยละ 5-10 ผู้ป่วยจะรู้สึกเพลียมาก เดินแทบไม่ไหว แต่ยังนั่งได้ และยังรู้สึกตัวดี เริ่มมีอาการตาโบ๋ (ตาลึก) ปากแห้ง ผิวหนังเหี่ยวและขาดความยืดหยุ่น ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ
ในทารกนอกจากอาการดังกล่าวแล้ว ยังพบว่ากระหม่อมบุ๋ม และท่าทางเซื่องซึม ไม่วิ่งเล่นเหมือนปกติ
3. ภาวะขาดน้ำรุนแรง (severe dehydration) น้ำหนักตัวลดมากกว่าร้อยละ 10 ผู้ป่วยมีอาการอ่อนเพลียมาก ลุกนั่งไม่ได้ต้องนอน ไม่ค่อยรู้สึกตัวหรือช็อก (กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็นชืด ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำมาก ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่ออกเลย) และมีอาการตาโบ๋มาก ผิวหนังเหี่ยวมาก ริมฝีปากและลิ้นแห้งผาก หายใจเร็วและลึก
ในทารกนอกจากอาการดังกล่าวแล้ว ยังพบว่ากระหม่อมบุ๋มมาก แน่นิ่ง และตัวอ่อนปวกเปียก
(2.1) ผู้ป่วยยังกินได้ ไม่อาเจียน หรืออาเจียนเพียงเล็กน้อย ให้กินสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ โดยผสมผงน้ำตาลเกลือแร่ขององค์การเภสัชกรรมกับน้ำสุกดื่มต่างน้ำบ่อย ๆ ครั้งละ ½-1 ถ้วย (250 มล.) หรือจะใช้น้ำเกลือผสมเองก็ได้ โดยใช้น้ำสุก 1 ขวดน้ำปลาใหญ่ (หรือขนาดประมาณ 750 มล.) ผสมกับน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ (25-30 กรัม) และเกลือป่น ½ ช้อนชา (1.7 กรัม) หรือจะใช้น้ำอัดลมหรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือ (ใส่เกลือ ½ ช้อนชาในน้ำอัดลมหรือน้ำข้าว 1 ขวดน้ำปลาใหญ่) ก็ได้
(2.2) ผู้ป่วยที่มีอาการอาเจียน ถ้ามีอาการเล็กน้อย และยังพอดื่มน้ำเกลือหรือน้ำข้าวต้มได้ ให้คอยสังเกตว่าได้รับน้ำเข้าไปมากกว่าส่วนที่อาเจียนออกมาหรือไม่ ถ้าอาเจียนออกมามากกว่าส่วนที่ดื่มเข้าไป หรือมีอาการอาเจียนมาก แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำแทน
(4) ยาปฏิชีวนะ ส่วนใหญ่ไม่ต้องให้ ควรให้เฉพาะรายที่ตรวจพบว่าเป็นบิด อหิวาต์ หรือไทฟอยด์เท่านั้น
- ถ่ายและอาเจียนน้อยลง
- ภาวะขาดน้ำลดน้อยลง
- ปัสสาวะออกมากขึ้น
- น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- หน้าตาแจ่มใส ลุกนั่งหรือเดินได้ เด็กเล็กเริ่มวิ่งเล่นได้
หากมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง ควรดูแลตนเองดังนี้
3. ถ้ามีไข้สูง ให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล*
4. ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด หรืออุจจาระมีกลิ่นเหม็นจัด
- ถ่ายรุนแรง อาเจียนมาก ปวดท้องรุนแรง หรือดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ได้น้อย (สังเกตพบปัสสาวะออกน้อย และมีสีเข้มอยู่เรื่อย ๆ)
- มีภาวะขาดน้ำค่อนข้างรุนแรง สังเกตพบมีอาการปากแห้ง คอแห้ง ลิ้นเป็นฝ้าหนา ตาโบ๋ ปัสสาวะออกน้อย
- มีอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด เวียนศีรษะ ใจหวิวใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว
- มีไข้เกิน 3-4 วัน หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อมาก หนังตาตก หรือพูดอ้อแอ้
- มีประวัติกินปลาปักเป้า แมงดาถ้วย คางคก เห็ด (ที่สงสัยว่าเป็นเห็ดพิษ) หรือสงสัยว่าเกิดจากการกินสารพิษ
- มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยอหิวาต์
- ดูแลตนเอง 24 ชั่วโมงแล้วไม่ทุเลา
- หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
- มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง
*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ
1. กินอาหารสุกและไม่มีแมลงวันตอม ดื่มน้ำต้มสุกหรือน้ำสะอาด (ไม่ดื่มน้ำคลองหรือน้ำบ่อแบบดิบ ๆ ไม่กินน้ำแข็งที่เตรียมไม่สะอาด)
2. ล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ก่อนเตรียมอาหาร ก่อนเปิบข้าว และหลังถ่ายอุจจาระหรือเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กทุกครั้ง
3. ถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่มิดชิด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
4. สำหรับทารก
- ควรเลี้ยงทารกด้วยนมมารดา
- ถ้าใช้ขวดนมเลี้ยงทารก ควรต้มขวดในน้ำเดือดนานอย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อฆ่าเชื้อโรคเสียก่อน
- ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคพื้นฐานต่าง ๆ ตามกำหนดเวลา และให้อาหารเสริมแก่ทารกเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงและไม่เป็นโรคขาดสารอาหาร
2. อันตรายที่เกิดจากโรคนี้ คือการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ จึงควรแนะนำให้ประชาชนทั่วไปรู้จักใช้ผงน้ำตาลเกลือแร่ น้ำเกลือผสมเอง น้ำอัดลมหรือน้ำข้าวต้มใส่เกลือ ดื่มกินทันทีที่มีอาการท้องเดิน จะช่วยป้องกันมิให้อาการรุนแรงได้ สิ่งนี้นับเป็น "ยาแก้ท้องเดิน" ที่จำเป็นที่สุด
3. ในเด็กเล็ก อาการท้องเดินมีความสัมพันธ์กับโรคขาดอาหารอย่างมาก กล่าวคือ ท้องเดินบ่อยอาจทำให้ขาดอาหาร และโรคขาดอาหารอาจทำให้ท้องเดินบ่อย จึงควรรักษาทั้ง 2 โรคนี้อย่างจริงจัง
4. ควรอธิบายให้ชาวบ้านเข้าใจถึงสาเหตุของโรคท้องเดินในเด็กเล็กว่าไม่ได้เกี่ยวกับการยืดตัวของเด็กดังที่เข้าใจกันทั่วไป แต่เกิดจากการติดเชื้อซึ่งสามารถป้องกันได้