สายตาผิดปกติ (Refractive errors) ข้อมูลโรค พร้อมโปรแกรมตรวจอาการเบื้องต้น
สายตาผิดปกติ (Refractive errors) อาการ สาเหตุ การป้องกันและรักษา พร้อมโปรแกรม “หมอประจำบ้าน” อัจฉริยะ Doctor at Home ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตัวเอง
สายตาสั้น มีสาเหตุจากกระจกตามีความโค้งมากกว่าปกติ ซึ่งมีกำลังในการหักเหแสงมากขึ้น ทำให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกอยู่ข้างหน้าจอตา ไม่ตกตรงจอตาพอดี จึงมีอาการมองไกล ๆ ไม่ชัด
สายตาสั้นยังอาจเกิดจากกระบอกตามีความยาว (ระยะจากกระจกตาถึงจอตา) มากกว่าปกติ ทำให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกไม่ถึงจอตา ทำให้เกิดอาการมองไกลไม่ชัด มักทำให้มีสายตาสั้นที่ค่อนข้างมากถึงรุนแรง
เชื่อว่าความผิดปกติดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็นมาแต่กำเนิดโดยธรรมชาติของคนคนนั้น อาจมีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์และเชื้อชาติ
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอาการสายตาสั้น ได้แก่ การใช้เวลามากในการเพ่งมองวัตถุที่อยู่ใกล้ (เช่น การอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูจอคอมพิวเตอร์) หรือการเล่นสมาร์ตโฟนเป็นเวลานาน ๆ เป็นประจำ การใช้เวลาในที่กลางแจ้งน้อย
สายตาสั้น จะมีอาการมองไกล ๆ (เช่น มองกระดานดำ ดูโทรทัศน์) ไม่ชัด ต้องคอยหยีตา แต่มองใกล้ (เช่น อ่านหนังสือ ดูจอคอมพิวเตอร์) ได้ชัดเจน
ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดศีรษะหรือตาล้าจากการเพ่งมองวัตถุที่อยู่ไกล
เด็กที่มีสายตาสั้น อาจมีอาการกะพริบตาบ่อย ใช้นิ้วขยี้ตาบ่อย นั่งดูทีวีใกล้จอ และถ้าสายตาสั้นมาก ๆ อาจมีอาการตาเขร่วมด้วย
สำหรับสายตาสั้นชนิดไม่รุนแรง จะเริ่มมีอาการแสดงในระยะที่เริ่มเข้าโรงเรียน และจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งอายุ 25 ปีจึงอยู่ตัวไม่สั้นมากขึ้น สายตาสั้นชนิดนี้จะไม่สั้นมาก และไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง
ในรายที่เป็นสายตาสั้นชนิดรุนแรง ซึ่งมักเกิดจากมีกระบอกตายาวกว่าปกติมากและอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง อาจพบว่าในระยะแรกจะมีอาการสายตาสั้นคล้ายชนิดไม่รุนแรง แต่จะมีสายตาสั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น แม้เลยวัย 25 ปีไปแล้ว หรืออาจพบมีอาการสายตาสั้นขนาดมาก ๆ มาตั้งแต่อายุน้อย (ในวัยรุ่น) จะสังเกตเห็นเมื่อเด็กเริ่มหัดเดิน มักจะเดินชนถูกสิ่งกีดขวาง หกล้มบ่อย ๆ หรือเวลามองดูอะไรต้องเข้าไปใกล้ ๆ จนตาแทบชิดกับวัตถุที่มอง ต้องสวมแว่นหนา ๆ อาจต้องเปลี่ยนแว่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ
สายตาสั้นชนิดรุนแรงที่พบตั้งแต่วัยเด็กดังกล่าว เรียกว่า "สายตาสั้นชนิดร้าย (malignant myopia)" เป็นภาวะที่พบได้น้อย มีความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
ความบกพร่องในการมองเห็น ทำให้เกิดความบกพร่องในการเรียนและการทำงาน และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย (เช่น ขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร)
เด็กเล็กที่มีสายตาสั้นมาก ๆ อาจเกิดอาการตาเขได้
สำหรับสายตาสั้นชนิดรุนแรง อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาฉีกขาดหรือหลุดลอก เลือดออกที่จอตา เป็นต้น ทำให้ตาบอดได้
แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดสายตาและการตรวจสุขภาพตาซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน และอาจวัดสายตาด้วยการทดลองให้มองผ่านเลนส์หลาย ๆ ขนาดเพื่อหาขนาดที่ให้ความคมชัดที่สุด
บางครั้งแพทย์อาจให้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เพื่อเปิดมุมกว้างสำหรับการตรวจภายในลูกตาได้ละเอียด อาจทำให้เห็นแสงจ้า หรือรู้สึกตาพร่ามัวอยู่สักพักใหญ่ และจะหายดีหลังจากยาหมดฤทธิ์
ถ้ามีอาการเล็กน้อย และไม่มีอุปสรรคต่อการเรียนหรือการทำงาน แพทย์อาจแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการและนัดมาตรวจวัดสายตาเป็นระยะ
สำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการเรียนหรือการทำงาน แพทย์จะทำการแก้ไขด้วยการให้ผู้ป่วยใส่แว่นชนิดเลนส์เว้า หรือเลนส์สัมผัสหรือคอนแทคเลนส์* ตามขนาดสายตาที่ตรวจวัดได้
ในผู้ที่เป็นสายตาสั้นชนิดรุนแรง แพทย์จะนัดมาตรวจวัดสายตา ปรับเปลี่ยนแว่น และตรวจดูภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดตามมาเป็นระยะ
แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับการใช้เลเซอร์ เพื่อปรับความโค้งของกระจกตาให้จุดรวมแสงตกบนจอตาพอดี สำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 20 ปี มีสายตาที่คงที่แล้ว และไม่มีภาวะที่เป็นข้อห้ามในการทำการผ่าตัด การรักษาด้วยการผ่าตัดแบบนี้มีอยู่หลายวิธี
ที่นิยมได้แก่ วิธีที่เรียกว่า เลสิก (LASIK ซึ่งย่อมาจาก laser assisted in situ keratomileusis) โดยแพทย์จะใช้มีดเฉพาะ (microkeratome) ฝานกระจกตาโดยรอบ และใช้เลเซอร์ (excimer laser) ยิงให้กระจกตาส่วนที่อยู่ตรงกลางแบนลงให้ได้ขนาดที่เหมาะกับระดับของสายตาสั้น
นอกจากนี้ แพทย์อาจรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ** รวมทั้งการผ่าตัดฝังเลนส์เทียม (intraocular lens implant/IOL) โดยแพทย์จะผ่ากระจกตาเป็นรอยเล็ก ๆ แล้วฝังเลนส์ตาเทียมเข้าไปในตาของผู้ป่วย ซึ่งช่วยให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกตรงจอตา ทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น
ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้มีสายตาเป็นปกติ สำหรับสายตาสั้นชนิดรุนแรงซึ่งพบได้เป็นส่วนน้อยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้
หากสงสัย เช่น มีอาการมองไกลไม่ชัด เด็กมีอาการกะพริบตาหรือขยี้ตาบ่อย ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นสายตาสั้น ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการสายตาสั้นมากขึ้น หรือใส่แว่นสายตาแล้วยังมองเห็นไม่ชัด
- มีอาการตาล้า หรือปวดศีรษะบ่อย
- สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามาก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช หรือเห็นจุดดำคล้ายเงาหยากไย่หรือแมลงลอยไปมา เป็นต้น
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างตาที่เป็นมาแต่กำเนิด
อาจลดความเสี่ยงของการเกิดอาการสายตาสั้นลงด้วยการปฏิบัติตัวดังนี้
1. การส่งเสริมให้เด็กวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาวช่วงต้นใช้เวลาอยู่ในที่กลางแจ้งให้มากขึ้น โดยสันนิษฐานว่า แสงอัลตราไวโอเลตจากแสงแดด มีส่วนช่วยยับยั้งไม่ให้กระบอกตามีความยาวมากกว่าปกติ จึงช่วยลดการเกิดสายตาสั้นได้*
2. ดูแลสุขภาพตา เพื่อป้องกันไม่ให้สายตาแย่ลง โดยการปฏิบัติตัวดังนี้
- หมั่นออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ และบริโภคอาหารสุขภาพ โดยลดของมัน ของหวาน ของเค็ม และกินผัก ผลไม้และปลาให้มาก ๆ
- ลดการสัมผัสรังสีอัลตราไวโอเลต โดยการสวมแว่นตากันแดดเวลาออกกลางแดดจ้า
- ใส่แว่นสายตาที่เหมาะกับระดับสายตา
- ใส่อุปกรณ์ป้องกันตาเวลาทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของตา (เช่น เล่นกีฬา ตัดหญ้า ทาสี หรือการสัมผัสสารเคมี)
- ควบคุมโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง (ถ้าเป็นโรคเหล่านี้)
- ป้องกันอาการตาล้า โดยการพักตาเวลาใช้สายตามาก (เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูจอคอมพิวเตอร์) ทุก ๆ 20 นาที ให้มองวัตถุที่อยู่ห่างระยะ 20 ฟุต นาน 20 วินาที
- ทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตา (เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ) ในที่ที่มีแสงสว่างที่มากพอ
- หมั่นตรวจเช็กสุขภาพตา (ตามที่แพทย์แนะนำ)
*https://www.news-medical.net/health/Myopia-Prevention.aspx และ
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/nearsightedness/diagnosis-treatment/drc-20375561
1. ผู้ที่มีสายตาสั้นชนิดไม่รุนแรง อาจไม่ทราบว่าตัวเองมีสายตาผิดปกติเนื่องจากไม่มีอาการที่เด่นชัด ดังนั้น แนะนำว่าคนทั่วไปทั้งเด็กและผู้ใหญ่ควรตรวจวัดสายตาเป็นระยะ ตามโรงเรียนต่าง ๆ ควรมีแผ่นวัดสายตา (ที่นิยมใช้กันคือ Snellen chart) ไว้ตรวจวัดสายตานักเรียนทุกคน ถ้าพบว่าผิดปกติ จะได้ส่งเด็กไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาล
2. ผู้ที่เป็นสายตาสั้น จะใส่แว่นประจำหรือไม่ก็ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสายตา ความเชื่อที่ว่าใส่แว่นประจำหรือเปลี่ยนแว่นบ่อย ๆ ทำให้ตาสั้นมากขึ้นจึงไม่เป็นความจริง ถ้าสายตาจะสั้นมากขึ้นก็เพราะธรรมชาติของคนคนนั้น โดยทั่วไปเมื่ออายุประมาณ 25 ปี สายตามักจะอยู่ตัว ไม่ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย
เนื่องจากกระบอกตาสั้นไป หรือไม่เป็นเพราะกระจกตาหรือแก้วตามีกำลังในการหักเหแสงน้อยไป ทำให้จุดรวมแสงของภาพไม่ว่าวัตถุนั้นจะอยู่ใกล้ไกลขนาดไหน ตกไปอยู่ข้างหลังของจอตา ทำให้มองเห็นไม่ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามองวัตถุที่อยู่ใกล้ จะมัวมากกว่ามองวัตถุที่อยู่ไกล
ผู้ที่มีสายตายาว มักจะมีความผิดปกติมาแต่กำเนิด แต่จะแสดงอาการเมื่อโตขึ้น
ผู้ป่วยจะมองวัตถุที่อยู่ใกล้ไม่ชัด บางคนอาจมีอาการมองไกล ๆ ไม่ชัดร่วมด้วย ในรายที่เป็นไม่มาก หรือสามารถปรับแก้วตาให้มีความโค้งและหนามากขึ้น (accommodation) ทำให้แสงหักเหตกที่จอตาพอดี ก็อาจมองเห็นชัดเช่นคนปกติ ผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าตัวเองมีสายตายาวซ่อนอยู่
บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการปวดเมื่อยตา (ตาล้าตาเพลีย) และปวดศีรษะหลังจากใช้สายตาเพ่งมองวัตถุที่อยู่ใกล้ (เช่น อ่านหนังสือ มองจอคอมพิวเตอร์) เป็นเวลานาน ๆ และอาการจะทุเลาเมื่อหยุดใช้สายตา ในเด็กเล็กอาจมีอาการตาเขร่วมด้วย
มีปัญหาในการอ่านหนังสือ หรือการมองวัตถุที่อยู่ใกล้ อาจทำให้มีอาการปวดเมื่อยตาและปวดศีรษะจากการเพ่งมอง และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายจากการมองเห็นไม่ชัด (เช่น ขณะขับรถ หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร)
ในเด็กเล็กอาจมีอาการตาเขร่วมด้วย และถ้าปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้ตาข้างหนึ่งพิการจนแก้ไขไม่ได้ผล
แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดสายตาและการตรวจสุขภาพตาซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน และอาจวัดสายตาด้วยการทดลองให้มองผ่านเลนส์หลาย ๆ ขนาดเพื่อหาขนาดที่ให้ความคมชัดที่สุด
บางครั้งแพทย์อาจให้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เพื่อเปิดมุมกว้างสำหรับการตรวจภายในลูกตาได้ละเอียด อาจทำให้เห็นแสงจ้า หรือรู้สึกตาพร่ามัวอยู่สักพักใหญ่ และจะหายดีหลังจากยาหมดฤทธิ์
ถ้ามีปัญหาในการอ่านหนังสือ เขียนหนังสือหรือการทำงานที่ต้องใช้สายตาดูวัตถุที่อยู่ใกล้ตา แพทย์จะทำการแก้ไขด้วยการวัดสายตา และตัดแว่นชนิดเลนส์นูนให้ผู้ป่วยใส่หรือ ให้ใส่เลนส์สัมผัส (คอนแทคเลนส์) จะช่วยให้เห็นชัดและหายปวดตา
เมื่ออายุมากขึ้นอาจต้องเปลี่ยนแว่นทุก 2-3 ปี เนื่องจากกำลังในการหักเหแสงของตาจะอ่อนลงตามอายุ
บางรายอาจรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น การทำเลสิก (LASIK) เพื่อปรับความโค้งของกระจกตาให้เหมาะสม, การฝังเลนส์ตาเทียม (intraocular lens implant/IOL)
หากสงสัย เช่น มีอาการมองวัตถุที่อยู่ใกล้ไม่ชัด มีอาการตาล้าหรือปวดมึนศีรษะเวลาเพ่งมองอะไรนาน ๆ ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นสายตายาว ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- ควรดูแลสุขภาพตา โดยการปฏิบัติตัว ดังนี้
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการสายตายาวมากขึ้น หรือใส่แว่นสายตาแล้วยังมองเห็นไม่ชัด
- มีอาการตาล้า หรือปวดศีรษะบ่อย
- สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามาก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช หรือเห็นจุดดำคล้ายเงาหยากไย่หรือแมลงลอยไปมา เป็นต้น
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากเกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างตาที่เป็นมาแต่กำเนิด
1. สายตายาว บางครั้งอาจวินิจฉัยได้ยาก หรือวินิจฉัยผิดว่าเป็นสายตาสั้น ดังนั้น ทางที่ดีควรให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตรวจวินิจฉัย
2. ผู้ที่เป็นสายตายาว ควรหมั่นตรวจเช็กสายตาเป็นประจำ เพราะอาจต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยเมื่ออายุมากขึ้น
3. ในปัจจุบันมีวิธีใหม่ ๆ ในการผ่าตัดรักษาสายตายาว นอกจากการผ่าตัดร่วมกับการใช้เลเซอร์
(เช่น การทำเลสิก) แล้ว ยังมีวิธีการผ่าตัดฝังเลนส์ตาเทียม (intraocular lens implant/IOL) โดยแพทย์จะผ่ากระจกตาเป็นรอยเล็ก ๆ แล้วฝังเลนส์ตาเทียมเข้าไปในตาของผู้ป่วย ซึ่งช่วยให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกตรงจอตา ทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น
อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้มีข้อดี ข้อเสีย ข้อห้ามและข้อควรระวังต่าง ๆ กันไป ควรปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ได้ความชัดเจน ว่าวิธีไหนที่เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย
สายตาผู้สูงอายุ เป็นภาวะเสื่อมตามอายุ ภาวะดังกล่าวมักจะเกิดในคนแทบทุกคนเมื่ออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป
ตาคนปกติจะมองดูวัตถุไกล ๆ ได้สบาย ๆ แต่ถ้าต้องดูวัตถุที่อยู่ใกล้ กล้ามเนื้อปรับสายตาจะหดตัว เพื่อปรับให้แก้วตา (เลนส์ตา) มีความโค้งและหนาตัวมากขึ้น (accommodation) ทำให้แสงหักเหตกที่จอตาพอดี แต่ในผู้สูงอายุเนื่องจากความเสื่อมตามอายุ ทำให้เลนส์ตาขาดความยืดหยุ่น จึงทำให้ความสามารถในการปรับสายตาดังกล่าวลดน้อยลง จึงมีความลำบากในการมองดูวัตถุที่อยู่ใกล้
ผู้ที่มีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด ไมแอสทีเนียเกรวิส) หรือใช้ยาบางชนิดเป็นประจำ (เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้ซึมเศร้า ยาขับปัสสาวะ) อาจทำให้มีอาการสายตายาวก่อนวัยอันควร คือ ก่อนอายุ 40 ปี
ผู้ป่วยจะมีอาการมองใกล้ไม่ชัด เวลาอ่านหนังสือต้องถือหนังสือออกไปไกลกว่าระยะปกติ จนบางครั้งยื่นออกไปจนสุดแขน หากเพ่งมองนานๆ ก็อาจมีอาการปวดเมื่อยตา (ตาล้า ตาเพลีย) และปวดศีรษะ บางรายอาจมีอาการมองเห็นภาพซ้อน
ผู้ป่วยมักใช้สายตามองระยะใกล้ ๆ (เช่น อ่านหนังสือ เย็บผ้า สนเข็ม เป็นต้น) ได้ลำบาก และจะเป็นมากขึ้นเมื่อแสงสลัว หรือหนังสือตัวเล็กมาก อาจมีอาการเห็นภาพซ้อน
ผู้ที่เป็นสายตาสั้นอยู่ก่อน อาจสังเกตว่าต้องถอดแว่นสายตาสั้นออกเมื่อต้องอ่านหนังสือในระยะใกล้ตา โดยสามารถถือหนังสือให้ห่างจากตาเท่ากับคนอายุน้อยที่สายตาปกติ
มีปัญหาในการอ่านหนังสือ หรือการมองวัตถุที่อยู่ใกล้ และอาจทำให้มีอาการปวดเมื่อยตาและปวดศีรษะจากการเพ่งมอง
แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดสายตาและการตรวจสุขภาพตาซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน และอาจวัดสายตาด้วยการทดลองให้มองผ่านเลนส์หลาย ๆ ขนาดเพื่อหาขนาดที่ให้ความคมชัดที่สุด
บางครั้งแพทย์อาจให้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เพื่อเปิดมุมกว้างสำหรับการตรวจภายในลูกตาได้ละเอียด อาจทำให้เห็นแสงจ้า หรือรู้สึกตาพร่ามัวอยู่สักพักใหญ่ และจะหายดีหลังจากยาหมดฤทธิ์
แพทย์จะทำการตรวจวัดสายตา และตัดแว่นชนิดเลนส์นูนให้ผู้ป่วยใส่ หรือให้ใส่เลนส์สัมผัส (คอนแทคเลนส์) เพื่อช่วยให้มองเห็นวัตถุที่อยู่ใกล้ได้ดีขึ้น
เมื่ออายุมากขึ้น อาจต้องเปลี่ยนแว่นให้หนาขึ้นทุก 2-3 ปี เนื่องจากกำลังในการหักเหแสงของตาจะอ่อนลงตามอายุ
ในผู้ที่เป็นสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียงอยู่ก่อน อาจต้องใช้แว่นสายตา 2 อัน เพื่อใช้มองไกลอันหนึ่งและมองใกล้อันหนึ่ง หรืออาจใช้แว่นที่ใช้เลนส์ชนิดเอนกประสงค์ (เลนส์โปรเกรสซีฟ) เพียงอันเดียว สามารถใช้มองไกล (ผ่านเลนส์ชั้นบน) และใช้มองใกล้ (ผ่านเลนส์ชั้นล่าง)
บางรายแพทย์อาจทำการรักษาด้วยการผ่าตัด เช่น การทำเลสิก (LASIK), การฝังเลนส์ตาเทียม (intraocular lens implant/IOL)
หากสงสัย เช่น อาการมองใกล้ไม่ชัด เวลาอ่านหนังสือต้องถือหนังสือออกไปไกลกว่าระยะปกติ มีอาการปวดเมื่อยตา (ตาล้า ตาเพลีย) และปวดศีรษะเวลาเพ่งมองนาน ๆ ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นสายตาผู้สูงอายุ ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- ควรดูแลสุขภาพตา โดยการปฏิบัติตัว ดังนี้
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- สายตามีความผิดปกติมากขึ้น หรือใส่แว่นสายตาแล้วยังมองเห็นไม่ชัด
- มีอาการตาล้า หรือปวดศีรษะบ่อย
- สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามาก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช หรือเห็นจุดดำคล้ายเงาหยากไย่หรือแมลงลอยไปมา เป็นต้น
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากเกิดจากความเสื่อมตามอายุที่มากขึ้น
1. สายตาผู้สูงอายุ เป็นภาวะเสื่อมตามอายุ ซึ่งมักจะเกิดในคนแทบทุกคนเมื่ออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ผู้ป่วยมักใช้สายตามองระยะใกล้ ๆ (เช่น อ่านหนังสือ เย็บผ้า สนเข็ม เป็นต้น) ได้ลำบาก และจะเป็นมากขึ้นเมื่อแสงสลัว หรือหนังสือตัวเล็กมาก แต่ยังมองวัตถุที่อยู่ไกลได้ชัดเจน สามารถแก้ไขง่าย ๆ ด้วยการสวมแว่นสายตาเฉพาะเวลาอ่านหนังสือและมองระยะใกล้ ๆ และไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด
2. ในปัจจุบันมีวิธีใหม่ ๆ ในการผ่าตัดรักษาสายตาที่ผิดปกติ นอกจากการผ่าตัดร่วมกับการใช้เลเซอร์ (เช่น การทำเลสิก) แล้ว ยังมีวิธีการผ่าตัดฝังเลนส์ตาเทียม (intraocular lens implant/IOL) โดยแพทย์จะผ่ากระจกตาเป็นรอยเล็ก ๆ แล้วฝังเลนส์ตาเทียมเข้าไปในตาของผู้ป่วย ซึ่งช่วยให้จุดรวมแสงของภาพของวัตถุที่อยู่ไกลตกตรงจอตา ทำให้มองเห็นได้ชัดขึ้น
อย่างไรก็ตาม วิธีเหล่านี้มีข้อดี ข้อเสีย ข้อห้ามและข้อควรระวังต่าง ๆ กันไป ควรปรึกษาจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ได้ความชัดเจน ว่าวิธีไหนที่เหมาะกับสภาพของผู้ป่วยแต่ละราย
ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของกระจกตาหรือเลนส์ตา ซึ่งเป็นมาแต่กำเนิด และไม่เป็นมากขึ้นตามอายุ
นอกจากนี้อาจเกิดจากแผลเป็นที่กระจกตา การบาดเจ็บที่ตา หรือการผ่าตัดตา ทำให้ความราบเรียบของกระจกตาเปลี่ยนแปลงไป และทำให้มีการหักเหของแสงในแต่ละแนวแตกต่างกันไป
ผู้ป่วยจะมีอาการสายตามัว มองเห็นไม่ชัด หรือมองเห็นภาพซ้อน และอาจมีอาการสายตาสั้น (มองไกลไม่ชัด) หรือสายตายาว (มองใกล้ไม่ชัด) ร่วมด้วย ต้องหยีตา หรือเอียงคอเพื่อให้การเห็นดีขึ้น บางรายอาจต้องเพ่งสายตาจนรู้สึกปวดเมื่อยตา ตาล้า ตาเพลีย หรือปวดศีรษะ
มีปัญหาในการอ่านหนังสือ หรือการมองวัตถุที่อยู่ใกล้ และอาจทำให้มีอาการปวดเมื่อยตาและปวดศีรษะจากการเพ่งมอง
หากเป็นสายตาเอียงเพียงข้างเดียว และปล่อยไว้ไม่รักษา ผู้ป่วยอาจใช้แต่ตาข้างดีข้างเดียว และไม่ใช้ตาข้างที่ผิดปกติ เพื่อให้มองเห็นได้ชัด สายตาข้างที่ผิดปกติจะค่อย ๆ เสื่อมลง จนตาบอดในที่สุด เรียกภาวะนี้ว่า ตาขี้เกียจ (lazy eye หรือ amblyopia)
แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการใช้เครื่องตรวจวัดสายตาและการตรวจสุขภาพตาซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน และอาจวัดสายตาด้วยการทดลองให้มองผ่านเลนส์หลาย ๆ ขนาดเพื่อหาขนาดที่ให้ความคมชัดที่สุด
บางครั้งแพทย์อาจให้ยาหยอดตาขยายรูม่านตา เพื่อเปิดมุมกว้างสำหรับการตรวจภายในลูกตาได้ละเอียด อาจทำให้เห็นแสงจ้า หรือรู้สึกตาพร่ามัวอยู่สักพักใหญ่ และจะหายดีหลังจากยาหมดฤทธิ์
แพทย์จะทำการตรวจวัดสายตา และแก้ไขด้วยการให้ผู้ป่วยใส่แว่นชนิดเลนส์ทรงกระบอกหรือเลนส์สัมผัส (คอนแทคเลนส์) ซึ่งจะช่วยให้มองเห็นได้ชัดขึ้น
บางรายอาจรักษาด้วยการทำเลซิก (LASIK)
หากสงสัย เช่น มีอาการสายตามัว มองเห็นไม่ชัด มีอาการหยีตาหรือคอเอียงเพื่อให้การเห็นดีขึ้น รู้สึกปวดเมื่อยตา ตาล้า หรือตาเพลีย ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นสายตาเอียง ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- ควรดูแลสุขภาพตา ป้องกันไม่ให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บ โดยใส่อุปกรณ์ป้องกันตาเวลาทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของตา (เช่น เล่นกีฬา ตัดหญ้า ทาสี หรือการสัมผัสสารเคมี)
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- สายตามีความผิดปกติมากขึ้น หรือใส่แว่นสายตาแล้วยังมองเห็นไม่ชัด
- มีอาการตาล้า หรือปวดศีรษะบ่อย
- สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามาก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช หรือเห็นจุดดำคล้ายเงาหยากไย่หรือแมลงลอยไปมา เป็นต้น
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากสายตาเอียงส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติของกระจกตาหรือเลนส์ตามาแต่กำเนิด
เด็กที่มีสายตาผิดปกติ มองภาพไม่ชัด พร่ามัว เวลามองอะไรชอบเอียงคอหรือศีรษะ ปวดเมื่อยตาหรือปวดศีรษะบ่อย ควรพาไปปรึกษาแพทย์ อาจมีสาเหตุจากสายตาผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสายตาเอียงเพียงข้างเดียว แล้วปล่อยปละละเลย ไม่ได้รับการแก้ไขไปนาน ๆ อาจทำให้สายตาข้างนั้นพิการอย่างถาวรได้
1. ในทารกแรกเกิด สายตายังเจริญไม่เต็มที่ อาจมีอาการตาเขได้บ้าง แต่ถ้าอายุเลย 6 เดือนไปแล้วยังมีอาการตาเขอยู่อีกก็ถือว่าผิดปกติ เรียกว่าตาเขแต่กำเนิด (congenital strabismus) ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และพบว่าสามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์
นอกจากนี้ในอาการตาเขในเด็กยังอาจมีสาเหตุจากสายตาผิดปกติ (เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง) หรือเกิดจากโรคต่าง ๆ เช่น สมองพิการ (cerebral palsy) กลุ่มอาการดาวน์ (Down’s syndrome) ภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) มะเร็งลูกตาในเด็ก เป็นต้น
2. ถ้าอาการตาเขเกิดขึ้นในภายหลังเมื่อพ้นวัยเด็กเล็ก มักจะเกิดจากกล้ามเนื้อกลอกลูกตาเป็นอัมพาตจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น อุบัติเหตุ ศีรษะได้รับบาดเจ็บ เนื้องอกสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง (stroke) คอพอกเป็นพิษ (โรคเกรฟส์ที่มีอาการตาโปน) ไมแอสทีเนียเกรวิส ทริคิโนซิส โบทูลิซึม เป็นต้น
ถ้าเป็นมาตั้งแต่กำเนิด เด็กมักจะไม่มีอาการอะไรนอกจากตาเข แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบแก้ไข ตาข้างที่เขจะมีสายตาพิการได้ ทั้งนี้เพราะเด็กจะไม่ใช้ตาข้างนั้นในการมอง (เพื่อหลีกเลี่ยงการเห็นภาพซ้อน โดยใช้ตาข้างที่ดีเพียงข้างเดียว) เมื่อไม่ใช้ตาข้างนั้นนาน ๆ เข้า สายตาก็จะเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ จนตาบอดในที่สุด เรียกภาวะนี้ว่า ตาขี้เกียจ (lazy eye/amblyopia)
ในรายที่เป็นตาเขตอนโต มักจะมีอาการเห็นภาพ 2 ภาพ (เห็นภาพซ้อน) หรืออาการตาล้าร่วมด้วย และอาจมีอาการของโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ปวดศีรษะ มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เป็นต้น
ในเด็กเล็กอาจตาข้างที่ผิดปกติเกิดภาวะตาขี้เกียจ (lazy eye/amblyopia) ทำให้ตาบอดได้
เด็กที่มีอาการตาเขอาจรู้สึกอับอาย เป็นปมด้อยในใจได้
ในผู้ใหญ่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตาเข
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ รวมทั้งการใช้เครื่องตรวจวัดสายตาและการตรวจสุขภาพตาซึ่งมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน
ในผู้ใหญ่อาจต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อค้นหาสาเหตุ เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ถ้าพบอาการตาเขเป็นครั้งคราวในทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน จะเฝ้าติดตามดูอาการไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่มีสาเหตุที่ผิดปกติ ก็มักจะหายได้เองเมื่ออายุได้ 6 เดือน ถ้าอายุพ้น 6 เดือนแล้วยังไม่หาย แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ
2. ถ้าทารกมีอาการตาเขตลอดเวลา หรือพบในเด็กอายุมากกว่า 6 เดือน แพทย์จะให้ผู้ป่วยฝึกการใช้ตาข้างที่เข โดยการปิดตาข้างที่ดีด้วยการใส่ที่ครอบตาวันละหลายชั่วโมง เพื่อช่วยกระตุ้นให้ตาอีกข้างที่เกิดตาขี้เกียจได้ทำหน้าที่บ้าง ทำติดต่อนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
นอกจากนี้แพทย์จะแนะนำการบริหารตา ซึ่งเป็นการฝึกกล้ามเนื้อที่ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตา เพื่อช่วยให้ตาทั้ง 2 ข้างทำงานประสานงานกันได้ดี
ถ้ามีภาวะสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง ก็จะตัดแว่นตาใส่ การรักษาโดยวิธีดังกล่าวอาจช่วยให้เด็กบางคนหายตาเขได้ภายในไม่กี่เดือน
ถ้าตาเขมาก หรือรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล อาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด
การรักษาอาการตาเขและตาขี้เกียจดังกล่าว ควรกระทำก่อนเด็กอายุได้ 3-5 ปี จะทำให้การมองเห็นกลับคืนสู่ปกติได้สูง ถ้าทำในช่วงอายุ 5-7 ปี อาการตาขี้เกียจต้องใช้เวลารักษานานขึ้น และถ้าทำเมื่ออายุมากกว่า 7 ปี การรักษาตาขี้เกียจมักไม่ค่อยได้ผล เพราะหลังวัยนี้ไปแล้ว ตาข้างที่เขอาจมีสายตาพิการอย่างถาวรจนยากที่จะแก้ไขได้
3. ถ้าพบอาการตาเขในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่สงสัยว่าอาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ ส่วนใหญ่ภายหลังการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุให้หายแล้ว อาการตาเขมักจะหายได้ แต่ถ้าไม่หายอาจต้องใส่แว่น หรือทำการแก้ไขด้วยการฉีดสารโบทูลิน (โบท็อกซ์) หรือการผ่าตัด
หากสงสัยมีอาการตาเข ตาเหล่ ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นตาเข ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- สายตามีความผิดปกติมากขึ้น หรือใส่แว่นสายตาแล้วยังมองเห็นไม่ชัด
- มีอาการตาล้า หรือปวดศีรษะบ่อย
- สงสัยมีภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดศีรษะมาก ปวดตามาก ตาพร่ามัว เห็นภาพซ้อน เห็นแสงวาบคล้ายฟ้าแลบหรือแสงแฟลช หรือเห็นจุดดำคล้ายเงาหยากไย่หรือแมลงลอยไปมา เป็นต้น
อาการตาเขโดยกำเนิดซึ่งไม่ทราบสาเหตุยังไม่มีวิธีป้องกัน
ส่วนอาการตาเขที่เกิดจากสายตาผิดปกติ หรือสาเหตุอื่น ๆ อาจป้องกันหรือรักษาอาการตาเขได้ด้วยการป้องกันหรือแก้ไขสาเหตุที่ทำให้ตาเข เช่น ใส่แว่นสายตา การป้องกันการบาดเจ็บที่ตาและสมอง การควบคุมโรคที่เป็นอยู่ (เช่น เบาหวาน คอพอกเป็นพิษ เป็นต้น)
1. ทารกทุกคนควรได้รับการตรวจกรองอาการตาเขเป็นระยะ ตั้งแต่อายุได้ 2-3 เดือน
2. อาการตาเขที่พบในทารกและเด็กเล็ก ควรนึกไว้เสมอว่า อาจมีสาเหตุผิดปกติซ่อนเร้นอยู่ และควรได้รับการรักษาก่อนอายุ 3-5 ปี อย่าเข้าใจผิดว่าโตขึ้นจะหายได้เอง มิเช่นนั้น เด็กอาจตาเขและสายตาพิการอย่างถาวรได้
Smart Doctor© โปรแกรม "หมอประจำบ้าน" อัจฉริยะ
โปรดเลือกอาการที่เป็นสัญญาณของ "สายตาผิดปกติ (Refractive errors)" เพื่อตรวจอาการเบื้องต้น ก่อนไปพบแพทย์
Smart Doctor© โปรแกรม "หมอประจำบ้าน" อัจฉริยะ
โปรดเลือกอาการที่เป็นสัญญาณของ "สายตาผิดปกติ (Refractive errors)" เพื่อตรวจอาการเบื้องต้น ก่อนไปพบแพทย์