1. ผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบจากไวรัสชนิดเฉียบพลัน ห้ามดื่มแอลกอฮอล์นาน 1 ปี เพราะอาจทำให้โรคเรื้อรังหรือกำเริบใหม่ได้
2. ระหว่างที่เป็นโรคควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ เช่น พาราเซตามอล เตตราไซคลีน ไอเอ็นเอช อีริโทรไมซิน ยาเม็ดคุมกำเนิด เป็นต้น
3. เข็มฉีดยาที่ใช้กับผู้ป่วยโรคนี้ควรทิ้งไปเลย ห้ามนำไปใช้ฉีดผู้อื่นต่อ เพราะอาจแพร่เชื้อได้
4. ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบไม่จำเป็นต้องกลายเป็นโรคตับอักเสบเสมอไปทุกราย บางรายอาจมีเชื้ออยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราวโดยไม่เป็นโรค แล้วเชื้อหายไปได้เอง
บางรายอาจมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีอยู่ในร่างกายโดยไม่มีอาการแสดงแต่อย่างใด แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่น เรียกว่า พาหะ (carrier) ซึ่งสามารถตรวจพบจากการตรวจเลือดเช็กสุขภาพ (ดังนั้นจึงแนะนำให้หมั่นตรวจเช็กสุขภาพเป็นระยะ)
บางรายหลังได้รับเชื้ออาจมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลียคล้ายไข้หวัดใหญ่ หรือคลื่นไส้ อาเจียน จุกเสียดท้อง โดยไม่มีอาการตาเหลืองก็ได้
5. ผู้ที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบชนิดบีหรือซี (พบเชื้อในกระแสเลือดโดยไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด) ควรหาทางพักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารที่มีประโยชน์ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายได้ตามปกติเช่นคนทั่วไป อย่าอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก งดบริจาคโลหิต ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรคนี้) และหมั่นตรวจเลือดดูเชื้อและทดสอบการทำงานของตับ (liver function test) รวมทั้งการตรวจหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (alpha-fetoprotein) เพื่อค้นหามะเร็งตับระยะแรกเริ่ม ทุก 3-6 เดือน
ผู้ที่เป็นพาหะอาจเกิดโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับแทรกซ้อน โดยมากมักจะเกิดกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสบีหรือซีจากมารดามาตั้งแต่เกิด แล้วเชื้อจะอยู่ในร่างกายจนย่างเข้าวัย 40-50 ปี ก็อาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ หรือตรากตรำงานหนัก
6. ผู้ที่เป็นตับอักเสบจากไวรัสชนิดเรื้อรัง ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ มักตรวจพบจากการตรวจเลือด เช็กสุขภาพ ควรติดตามรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง และเฝ้าระวังการเกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ ซึ่งหากพบระยะแรกเริ่ม ก็สามารถรักษาได้ผลดี มีอายุยืนยาวได้
7. ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นโรคหรือเป็นพาหะของโรคตับอักเสบชนิดบี โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นสามีหรือภรรยาและบุตรควรตรวจเลือด ถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกันโรคควรฉีดวัคซีนป้องกัน
8. หญิงตั้งครรภ์ทุกคนจะต้องได้รับการตรวจเลือดดูว่ามีเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือไม่ ถ้าพบว่ามีเชื้อ ทารกที่เกิดมาทุกคนจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบจากไวรัสชนิดบี 3 ครั้ง ตั้งแต่แรกเกิด และเมื่ออายุครบ 1 และ 6 เดือน และในรายที่มารดาตรวจพบ HBeAg เป็นผลบวก ทารกจะต้องได้รับการฉีดสารอิมมูนโกลบูลิน (hepatitis B immune globulin/HBIG) ร่วมกับวัคซีนดังกล่าวจะช่วยป้องกันมิให้ทารกติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้