อาการผิดปกติเกิดจากหูชั้นใน/เส้นประสาทการทรงตัวมีการอักเสบ ทำให้กระทบต่อการส่งสัญญาณไปที่สมองของประสาทการทรงตัวและประสาทการได้ยิน (สำหรับโรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน) หรือการส่งสัญญาณของประสาทการทรงตัวเพียงอย่างเดียว (สำหรับโรคเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ) ทำให้เกิดอาการผิดปกติของการทรงตัวและการได้ยิน (สำหรับโรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน) หรืออาการผิดปกติของการทรงตัวเพียงอย่างเดียว (สำหรับโรคเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ)
ส่วนใหญ่มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส ที่พบบ่อยคือ ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น นอกจากนี้อาจเกิดจากโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ เช่น คางทูม หัด หัดเยอรมัน อีสุกอีใส เริม งูสวัด ตับอักเสบจากไวรัส เอชไอวี เป็นต้น
ส่วนน้อยอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น หูชั้นกลางอักเสบจากแบคทีเรีย โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย) ซึ่งพบว่าผู้มีความเสี่ยงต่อการเป็นหูชั้นในอักเสบจากแบคทีเรีย คือ กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี และมักทำให้เกิดโรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลันมากกว่าเส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ
นอกจากนี้ บางรายโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่เป็นหูชั้นในอักเสบ ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ (เช่น การบาดเจ็บที่หูหรือศีรษะ การผ่าตัดหู) บางรายอาจพบร่วมกับโรคภูมิต้านตนเอง (เช่น เอสแอลอี ข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง)
ผู้ที่สูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด มีความเครียดจัด ร่างกายเหนื่อยล้าเป็นประจำ มีประวัติโรคภูมิแพ้ หรือกินยาบางชนิด (เช่น แอสไพริน ยาต้านซึมเศร้า ยารักษาเบาหวานบางชนิด) มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลันมากขึ้นกว่าปกติ
หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน จะมีอาการเวียนศีรษะ เห็นบ้านหมุนอย่างฉับพลันและรุนแรงติดต่อกันนานเป็นวัน ๆ มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการทรงตัว (ลุกนั่ง ยืน เดิน ทรงตัวไม่ได้ มักจะเซล้มไปข้างหนึ่ง) ร่วมกับมีเสียงในหู (หูอื้อ) และ/หรือหูตึง (ได้ยินเสียงที่มีความถี่สูงไม่ชัด) ในหูข้างหนึ่ง และอาจมีอาการตากระตุก (มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของดวงตาซึ่งเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ) ร่วมด้วย
ผู้ป่วยมักมีอาการรุนแรงจนต้องนอนพัก ลุกขึ้นเดินลำบากและทำงานไม่ได้ ซึ่งมักจะเป็นอยู่นาน 2-3 วัน บางรายอาจนานถึง 1 สัปดาห์
ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่พบว่าจะมีอาการบ้านหมุนเกิดขึ้นหลังเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น บางรายอาจมีประวัติเป็นโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ หรือหูชั้นกลางอักเสบมาก่อน
เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ มีอาการแบบเดียวกับหูชั้นในอักเสบเฉียบพลันดังกล่าวข้างต้น แต่จะไม่มีอาการหูตึงและเสียงดังในหูร่วมด้วย
ส่วนใหญ่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง และจะหายได้เป็นปกติ และมักไม่กลับมากำเริบอีก
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้ ได้แก่
- ขณะที่มีอาการอย่างฉับพลันและรุนแรง อาจทำให้ทำงานหรือขับรถไม่ได้ หรืออาจทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือหกล้มได้
- ในรายที่มีอาการอาเจียนมาก อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ
- บางรายหลังจากอาการทุเลาลงแล้ว อาจมีอาการของบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า (บีพีพีวี) ตามมา ซึ่งจะมีอาการไม่รุนแรง แต่จะเป็นเรื้อรังอยู่นานหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน ๆ
- สำหรับผู้ที่เป็นหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน อาจมีอาการหูตึงหรือหูหนวกอย่างถาวร ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก และมักจะพบในรายที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (โรคหูน้ำหนวกเรื้อรัง) เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากแบคทีเรีย
ส่วนในรายที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดอาการหูตึงหรือหูหนวกอย่างถาวร ที่อาจพบได้ เช่น ผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดที่บริเวณหู
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจหู ตา และระบบประสาท)
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเป็นหลัก ได้แก่ อาการบ้านหมุนที่เกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรง ร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการทรงตัว ลุกนั่งไม่ได้ โดยมีอาการต่อเนื่องกันนานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ และมักมีประวัติว่าเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น หรือหูชั้นกลางอักเสบมาก่อนที่จะมีอาการบ้านหมุน
การตรวจดูตา อาจพบอาการตากระตุก
ในรายที่มีอาการบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า (บีพีพีวี) ซึ่งพบในระยะหลังของโรค การทดสอบดิกซ์ฮอลล์ไพก์ (ดู "โรคบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า/บีพีพีวี" เพิ่มเติม) มักจะให้ผลบวก คือกระตุ้นให้เกิดอาการบ้านหมุนและตากระตุก
ในรายที่ยังวินิจฉัยไม่ได้ชัดเจน มีอาการแย่ลงหรือนานกว่า 3 สัปดาห์ หรือสงสัยว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น (เช่น โรคทางสมอง โรคทางหูชนิดอื่น ๆ) แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ตรวจสมรรถภาพของการได้ยิน (audiometry) ตรวจความผิดปกติของหูชั้นในที่เกี่ยวกับการทรงตัว (เช่น electronystagmograp hy/ENG, video head impulse test) ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง เป็นต้น
1. ในรายที่อาการไม่รุนแรง และยังกินอาหารดื่มน้ำได้ ลุกขึ้นเดินได้ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง และให้การรักษาตามอาการ เช่น ไดเมนไฮดริเนต, ไดเฟนไฮดรามีน, ไดอะซีแพม ครั้งละ 1-2 เม็ด ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง จนกว่าจะทุเลาก็จะหยุดยา (ส่วนใหญ่อาจใช้ยาอยู่เพียง 2-3 วัน)
2. ในรายที่มีอาการบ้านหมุน อาเจียนรุนแรง ลุกขึ้นเดินไม่ได้ หรือกินอาหารไม่ได้/ดื่มน้ำไม่ได้, มีอาการหูตึงอย่างฉับพลัน ปวดหูหรือมีหนองไหลออกจากหู, มีอาการเดินเซ ปวดศีรษะมาก เห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ หรือแขนขาชา/อ่อนแรง, เป็นเริม/งูสวัด/อีสุกอีใส/โรคภูมิต้านตัวเอง, มีอาการหลังได้รับบาดเจ็บ หรือสงสัยเป็นโรคทางสมอง (เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เนื้องอกสมอง) อย่างใดอย่างหนึ่ง แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และให้การรักษาดังนี้
- ให้ยารักษาตามอาการ อาจต้องใช้ยาฉีด เช่น ไดอะซีแพม หรือโพรคลอร์เพอราซีน (prochlorperazine) เมื่อดีขึ้นค่อยเปลี่ยนเป็นยาเม็ดไดเมนไฮดริเนต หรือโพรคลอร์เพอราซีน ให้กินต่อจนกว่าจะหายเป็นปกติ
- ในรายที่มีอาการอาเจียนบ่อย กินอาหารและดื่มน้ำไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำ แพทย์จะให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ
- ในรายที่เกิดจากเชื้อไวรัสเริม งูสวัด หรืออีสุกอีใส แพทย์อาจให้ยาต้านไวรัส เช่น ให้อะไซโคลเวียร์
- สำหรับผู้ที่มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น โรคหูชั้นกลางอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ รวมทั้งแก้ไขภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
- ในรายที่มีอาการหูตึง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) เพี่อลดการอักเสบของประสาทหู บางรายแพทย์อาจใช้วิธีฉีดยาสเตียรอยด์ผ่านเยื่อแก้วหูเข้าไปในหูชั้นกลาง
- ในรายที่มีอาการรุนแรงมากหรือสงสัยเป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (ปวดศีรษะและอาเจียนรุนแรง คอแข็ง ซึม ชัก) แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล
3. ในรายที่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับประสาทการทรงตัวเรื้อรังนานเป็นเดือน ๆ หรือเป็นแรมปี แพทย์จะให้ผู้ป่วยทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูประสาทการทรงตัว (vestibular rehabilitation)
ผลการรักษา ส่วนใหญ่อาการจะทุเลาลงภายใน 1-3 สัปดาห์ และจะหายเป็นปกติใน 1-2 เดือน
บางรายอาจมีอาการเมารถเมาเรือง่าย หรือมีอาการบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่าหรือบีพีพีวี อาการจะเป็น ๆ หาย ๆ อยู่นานหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือน ๆ หรืออาจมีอาการสูญเสียการทรงตัวนานเป็นแรมเดือนแรมปี แล้วหายไปได้เองในที่สุด
ส่วนอาการหูตึงส่วนใหญ่จะค่อย ๆ ทุเลาจนหายเป็นปกติ มีน้อยรายที่อาจมีอาการหูตึงหรือหูหนวกอย่างถาวร ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรีย บางรายอาจมีอาการมีเสียงในหูอย่างถาวร
หากสงสัย เช่น มีอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน สูญเสียการทรงตัว และอาจมีอาการหูตึง มีเสียงดังในหูร่วมด้วย ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน/เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- หลีกเลี่ยงการขับรถ การทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร และการปีนขึ้นที่สูง
- อย่าเคลื่อนไหวศีรษะเร็ว ๆ และหลีกเลี่ยงท่าทางที่ทำให้เกิดอาการ (เช่น การเปลี่ยนอิริยาบถอย่างรวดเร็ว การก้มหรือเงยคอ การหันหน้าไปจนสุด)
- ขณะมีอาการควรนอนนิ่ง ๆ และหลับตาในห้องที่เงียบ ๆ มืด ๆ จนกว่าจะทุเลา
- ดื่มน้ำให้มากพอ โดยจิบทีละน้อยแต่บ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน
- ควรกินอาหารเหลว (เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม) ดื่มนม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ ทีละน้อยแต่บ่อย ๆ เพื่อลดอาการอาเจียน
- หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ แสงสว่างจ้าหรือแสงกะพริบ เสียงรบกวน การดูทีวีและจอคอมพิวเตอร์ การอ่านหนังสือ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวล
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความเครียด
- เมื่ออาการเริ่มทุเลาลง ควรค่อย ๆ ลุกขึ้น ควรมีคนคอยพยุงเวลาลุกขึ้นเดิน
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการบ้านหมุนรุนแรง อาเจียนมาก กินไม่ได้ หรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือลุกขึ้นนั่งไม่ได้ (ต้องนอนนิ่งบนเตียง) นานเป็นวัน ๆ
- มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีไข้สูง ปวดศีรษะมาก ตาเห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ แขนขาชาหรืออ่อนแรงข้างหนึ่ง เป็นลม ชัก เป็นต้น
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ดูแลรักษานาน 1 สัปดาห์แล้วอาการไม่ทุเลา
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ยังไม่มีการป้องกันที่ได้ผลเต็มที่
อาจลดความเสี่ยงลงด้วยการปฏิบัติตัว ดังนี้
- ดูแลตนเองเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และหูชั้นกลางอักเสบ และหากเป็นโรคเหล่านี้ควรดูแลรักษาให้ได้ผลแต่เนิ่น ๆ
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ หัด หัดเยอรมัน คางทูม อีสุกอีใส
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และหาทางผ่อนคลายความเครียด
1. อาการบ้านหมุนมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของหูชั้นใน ซึ่งอาจมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน หากมีอาการบ้านหมุนรุนแรง หรือเป็นครั้งละนานมากกว่า 20 นาที เป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ หรือมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หูตึง มีเสียงดังในหู หรือสูญเสียการทรงตัว มักจะไม่ใช่มีสาเหตุจากโรคบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า (บีพีพีวี) แต่อาจเกิดจากโรคเมเนียส์ หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน หรือเนื้องอกประสาทหูได้ ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุ
2. โรคหูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน/เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ และโรคเมเนียส์ มีอาการบ้านหมุนอย่างฉับพลันและรุนแรง ร่วมกับอาการหูตึง มีเสียงดังในหู สูญเสียการทรงตัว และคลื่นไส้ อาเจียนคล้าย ๆ กัน ต่างกันที่หูชั้นในอักเสบเฉียบพลัน/เส้นประสาทการทรงตัวอักเสบ จะเป็นติดต่อกันนาน 2-3 วัน และเมื่อหายแล้วมักจะไม่มีอาการกำเริบใหม่ (ถ้าพบว่ามีอาการกำเริบใหม่ มักจะเกิดจากสาเหตุอื่น) ส่วนโรคเมเนียส์มักจะมีอาการนานครั้งละไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมง แต่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง และจะมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราวอยู่เรื่อย ๆ
3. ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะมีอาการรุนแรงอยู่ 2-3 วัน หลังจากนั้นก็จะค่อย ๆ ทุเลาลง เมื่อรู้สึกทุเลาค่อนข้างดีแล้ว ควรหยุดยาที่ใช้บรรเทาอาการเวียนศีรษะ บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน ไม่ควรกินต่อเนื่องไปนาน ๆ เพราะอาจทำให้ประสาทการทรงตัวฟื้นตัวได้เนิ่นช้าไป และผู้ป่วยควรลุกขึ้นเดินและเคลื่อนไหวร่างกายโดยเร็ว เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายฟื้นคืนสู่ปกติได้เร็ว