บ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า/บีพีพีวี (Benign paroxysmal positional vertigo/BPPV*) ภาวะนี้หมายถึง อาการวิงเวียนแบบบ้านหมุนหรือสิ่งรอบตัวหมุนที่เกิดขึ้นเป็นช่วงสั้น ๆ ร่วมกับอาการตากระตุก (nystagmus) และเกิดขึ้นฉับพลันขณะมีการเปลี่ยนท่าหรือเคลื่อนไหวศีรษะ ภาวะนี้จัดเป็นสาเหตุของอาการบ้านหมุน (vertigo) ที่พบได้บ่อยที่สุด จะพบได้มากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น จึงพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และพบได้น้อยในคนอายุต่ำกว่า 35 ปี
เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของหูชั้นในส่วนลาบิรินท์ (labyrinth) ที่ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัวประกอบด้วยหลอดกึ่งวง 3 อัน (ด้านหน้า ด้านหลัง และด้านข้าง) ซึ่งภายในมีของเหลวและเซลล์ประสาทบรรจุอยู่ หลอดกึ่งวงทั้ง 3 อันนี้มีช่องเชื่อมต่อกับกระเปาะที่เรียกว่า "ยูทริเคิล (utricle)" และ "แซกคูล (saccule)" ในคนปกติจะมีผลึกหินปูนเกาะอยู่ในยูทริเคิลและแซกคูล ทำหน้าที่ช่วยในการรับรู้ทิศทางการเคลื่อนไหวของร่างกาย ถ้าหากมีผลึกหินปูนจำนวนมากหลุดออกมาจากส่วนนี้ เข้าไปลอยอยู่ในของเหลวภายในหลอดกึ่งวง ก็จะเกิดการรบกวนเซลล์ประสาทภายในหลอดกึ่งวง ทำให้เกิดอาการบ้านหมุนอย่างรุนแรง
ผลึกหินปูนดังกล่าวสามารถหลุดลอยเข้าไปในหลอดกึ่งวงได้ทุกอัน แต่จะเข้าไปในหลอดกึ่งวงด้านหลัง (posterior semicircular canal) เป็นส่วนใหญ่ ผลึกหินปูนที่ลอยอยู่ในหลอดกึ่งวง มีชื่อเรียกว่า "Canalith"
สาเหตุของการเกิดภาวะนี้ในผู้ป่วยอายุมาก มักเกิดจากความเสื่อมของอวัยวะการทรงตัวภายในหูชั้นใน ส่วนผู้ป่วยอายุต่ำกว่า 50 ปี มักเกิดจากการได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือเป็นผลที่เกิดตามหลังการผ่าตัดหู และมีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด
ภาวะนี้อาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น ไมเกรน โรคเมเนียส์ หูชั้นกลางอักเสบ โรคทางสมอง เป็นต้น
ผู้ป่วยจะมีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุนหรือสิ่งรอบตัวหมุนอย่างรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันทีขณะเปลี่ยนท่าหรือเคลื่อนไหวศีรษะในท่าที่เฉพาะบางท่าเท่านั้น ที่พบบ่อยคือ ท่าลุกขึ้นจากเตียงนอน หรือท่านอนพลิกตะแคงตัว บางรายก็อาจเป็นขณะล้มตัวลงนอน ก้มศีรษะ (ก้มหาของ กวาดบ้าน กราบพระ) หรือเงยศีรษะ (เงยมองขึ้นข้างบนหาของ สอยผลไม้ นอนบนเตียงทำฟัน นอนบนเตียงสระผม)
อาการบ้านหมุนแต่ละครั้งจะเป็นอยู่ประมาณ 20-30 วินาที (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 1 นาที) และอาจกำเริบใหม่เมื่อเคลื่อนไหวศีรษะในท่านั้นอีก แต่ถ้าหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวศีรษะในท่านั้น ก็จะรู้สึกสบายเป็นปกติ สามารถเดินไปมาได้และทำงานได้
ขณะมีอาการบ้านหมุนผู้ป่วยมักมีอาการตากระตุกร่วมด้วย
ในรายที่เป็นมาก แม้แต่การเคลื่อนไหวศีรษะเพียงเล็กน้อย ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการบ้านหมุน และมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
บางรายหลังจากหายเวียนศีรษะแล้ว ยังอาจมีอาการคลื่นไส้หรือรู้สึกโคลงเคลงนานหลายนาทีถึงหลายชั่วโมง
ผู้ป่วยจะไม่มีอาการหูอื้อ หูตึง หรือแว่วเสียงดังในหูร่วมด้วย (ถ้ามี มักเกิดจากโรคของหูชั้นในแบบอื่น ๆ)
อาการของโรคนี้กำเริบเป็นครั้งคราว แต่ละครั้งอาจมีอาการอยู่นานหลายวัน หรือเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ แล้วก็หายไปได้เอง พอเว้นได้ระยะหนึ่ง อาจเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นแรมเดือนแรมปี อาการก็อาจหวนกลับมาเป็นใหม่ได้อีก
นอกจากความรู้สึกกลัวหรือทรมานขณะมีอาการบ้านหมุนกำเริบแล้ว โรคนี้มักจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงใด ๆ ยกเว้นในผู้สูงอายุมาก ๆ หรือผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บหรือไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวร่างกาย หรือมีโรคทางหูร่วมด้วย อาจเกิดการหกล้มกระดูกหักได้
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก
การทดสอบดิกซ์ฮอลล์ไพก์ (Dix-Hallpike test) จะพบอาการตากระตุกร่วมกับอาการบ้านหมุน
ถ้าสงสัยเป็นโรคทางสมองหรือมีความผิดปกติทางหู แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า การตรวจสมรรถภาพของการได้ยิน เป็นต้น
1. ถ้าอาการไม่มาก เป็นวันละไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งมีอาการอยู่เพียงช่วงสั้น ๆ (20-30 วินาที) และสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ แพทย์จะอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงอาการที่เป็นและแนะนำให้รู้จักการดูแลตนเอง
ถ้ามีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน คลื่นไส้ หรือโคลงเคลงมาก แพทย์จะให้กินยาบรรเทาอาการ เช่น ไดเมนไฮดริเนต (ย 19.1) บีตาฮีสตีน (betahistine) เป็นต้น
บางกรณีแพทย์จะทำการรักษาด้วยท่าบริหารศีรษะที่เรียกว่า "Epley maneuver" (หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "Canalith repositioning maneuver") ซึ่งเป็นการทำให้ผลึกหินปูนในหลอดกึ่งวง (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดกึ่งวงด้านหลัง) ไหลกลับเข้าไปที่กระเปาะยูทริเคิล วิธีนี้ทำเพียงครั้งเดียว ช่วยให้อาการหายได้ทันทีถึงร้อยละ 80 รายที่ไม่หายอาจต้องทำซ้ำ
ในรายที่ทำวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล หรือทนต่อผลข้างเคียง (บ้านหมุน คลื่นไส้ อาเจียน) ไม่ได้ หรือมีข้อห้ามทำ แพทย์จะสอนให้ผู้ป่วยทำท่าบริหารที่เรียกว่า "Brandt-Daroff exercise" โดยให้ทำเองที่บ้านทุกวัน วันละ 3 ครั้ง นาน 2 สัปดาห์ (ส่วนใหญ่จะทุเลาเมื่อทำไปได้ 10 วัน) ในรายที่กำเริบบ่อย แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยทำท่าบริหารต่อเนื่องทุกวัน
2. ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการบ้านหมุนหรืออาเจียนมาก มีอาการหูอื้อ หูตึง หรือแว่วเสียงดังในหู เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก ตาเห็นภาพซ้อน หรือสงสัยมีความผิดปกติรุนแรงอื่น ๆ แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ถ้าสงสัยโรคทางสมอง อาจต้องตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ถ้าสงสัยความผิดปกติทางหู อาจต้องตรวจสมรรถภาพของการได้ยิน (audiogram) ตรวจคลื่นไฟฟ้าเกี่ยวกับอาการตากระตุก (electronystagmography/ENG) ทดสอบบนเก้าอี้หมุน (rotatory chair test) เป็นต้น และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
ผลการรักษา ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง มักทุเลาไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ การรักษาด้วยท่าบริหารศีรษะแบบ "Epley maneuver" มักช่วยให้โรคทุเลาไปได้เร็ว มีน้อยรายมากที่การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล และมีอาการต่อเนื่องนานเกิน 1 ปี บางกรณีอาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด ซึ่งได้ผลประมาณร้อยละ 90
หากสงสัย เช่น มีอาการวิงเวียน เห็นบ้านหมุน ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า (บีพีพีวี) ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- ขณะมีอาการกำเริบ ให้ผู้ป่วยเปลี่ยนท่ามานั่งคอตรง ๆ หรือนอนหงายศีรษะตรงทันที
- ป้องกันไม่ให้อาการกำเริบซ้ำโดยการนอนหนุนหมอนอย่างน้อย 2 ใบ อย่านอนตะแคงข้างที่มีอาการ เวลาลุกจากเตียงนอนให้ลุกอย่างช้า ๆ และนั่งอยู่ขอบเตียงสักครู่ก่อนจะยืนขึ้น อย่าก้มศีรษะต่ำหรือเงยมองขึ้นข้างบน หลีกเลี่ยงการทำงานที่ต้องก้ม ๆ เงย ๆ การสะบัดผมหรือสะบัดคอเร็ว ๆ รวมทั้งท่าอื่น ๆ ที่กระตุ้นให้อาการกำเริบ
- หลีกเลี่ยงการขับรถหรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น
- ถ้าตื่นลุกเข้าห้องน้ำตอนกลางดึก ควรเปิดไฟในห้องให้สว่าง
- ถ้ามีอาการวิงเวียน หรือรู้สึกโคลงเคลงมาก เวลาเดินควรใช้ไม้เท้าช่วยป้องกันไม่ให้หกล้ม
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1 สัปดาห์
- มีอาการบ้านหมุนต่อเนื่องนานเป็นชั่วโมง ๆ อาเจียนมาก กินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เป็นปกติ
- มีอาการปวดศีรษะมาก ปวดหู หูน้ำหนวกไหล หูอื้อ หูตึง หรือแว่วเสียงดังในหู เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง พูดอ้อแอ้ กลืนลำบาก หรือตาเห็นภาพซ้อน
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล
ในช่วงที่มีอาการบ้านหมุนกำเริบ ควรดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และระวังอย่าให้หกล้มได้รับบาดเจ็บ
1. โรคนี้แม้ว่าจะมีอาการบ้านหมุนรุนแรง จนผู้ป่วยบางคนรู้สึกตกใจกลัว และอาจเป็น ๆ หาย ๆ ได้บ่อยจนน่ารำคาญ แต่จัดเป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายเป็นส่วนใหญ่ ผู้ป่วยควรสังเกตว่าท่าใดที่ทำให้อาการกำเริบ แล้วหาทางหลีกเลี่ยงไม่ทำท่านั้น ก็จะสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ
2. เนื่องจากโรคนี้มักพบในผู้สูงอายุ จึงควรแยกออกจากอาการบ้านหมุนจากภาวะหลอดเลือดตีบในสมอง ซึ่งมักมีอาการติดต่อกันนาน ๆ และอาจมีอาการผิดปกติทางสมอง (เช่น ตาเห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรง) ร่วมด้วย ส่วนอาการบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่ามักจะมีอาการเกิดขึ้นฉับพลันขณะเปลี่ยนท่าเฉพาะบางท่า และเป็นอยู่เพียง 20-30 วินาที อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน โคลงเคลงร่วมด้วย โดยที่ไม่มีอาการผิดปกติทางสมอง ส่วนใหญ่เมื่อหายจากอาการบ้านหมุนแล้ว ผู้ป่วยมักจะรู้สึกสบายดี อย่างไรก็ตาม ถ้าแยกแยะโรคไม่ได้ชัดเจน หรือผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดสมองตีบ (เช่น เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง) ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่แน่ชัด
3. อาการบ้านหมุนมักมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของหูชั้นใน ซึ่งอาจมีสาเหตุหลายประการด้วยกัน หากมีอาการมากและครั้งละนานหลายนาทีถึงเป็นชั่วโมง ๆ หรือมีอาการอาเจียนมาก หรือมีอาการหูตึงและมีเสียงดังในหู มักจะไม่ใช่มีสาเหตุจากโรคบ้านหมุนจากการเปลี่ยนท่า/บีพีพีวี และควรรีบไปพบแพทย์ อาจเกิดจากโรคเมเนียส์ หูชั้นในอักเสบ หรือเนื้องอกประสาทหูได้