แผลอักเสบเป็นภาวะติดเชื้อแทรกซ้อนของบาดแผล (เช่น แผลถลอก มีดบาด ตะปูตำ หนามเกี่ยว สัตว์กัด เป็นต้น)
เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (สเตรปโตค็อกคัส หรือสแตฟีโลค็อกคัส) เข้าไปทำให้อักเสบเป็นหนอง
บาดแผลมีลักษณะปวด บวม แดง ร้อน หรือเป็นหนอง บางรายอาจมีไข้หรือต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงโตร่วมด้วย
ส่วนใหญ่มักดูแลรักษาให้หายขาด และไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ มีแผลอักเสบรุนแรง หรือไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก เชื้ออาจลุกลามเข้ากระแสเลือด ทำให้เป็นโลหิตเป็นพิษได้
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ในบางรายแพทย์อาจนำหนองจากรอยโรคไปตรวจหาเชื้อทางห้องปฏิบัติการ
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ชะล้างแผลด้วยน้ำเกลือ (ใช้เกลือ 1 ช้อนโต๊ะใส่ในน้ำ 1 ลิตร ต้มให้เดือด) หรือน้ำเกลือนอร์มัล (normal saline)
ถ้าเป็นหนองเฟะ ควรชะล้างด้วยไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ แล้วล้างด้วยน้ำเกลือ ใช้น้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมเข้มข้น (น้ำตาลทราย 1 กก. ผสมในน้ำ 1 ลิตร เคี่ยวบนเตาไฟ) ใส่แผล แล้วปิดด้วยผ้าก๊อซสะอาด ควรทำแผลอย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง เมื่อเนื้อแผลแดงไม่มีหนองแล้ว ควรชะแผลด้วยน้ำเกลือเพียงอย่างเดียว ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ชะตรงเนื้อแผล
2. ถ้ามีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต หรือแผลอักเสบมากให้ยาแก้ปวดลดไข้ และยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลินวี, ไดคล็อกซาซิลลิน, อีริโทรไมซิน, โคอะม็อกซิคลาฟ) นาน 5-7 วัน
3. ถ้าไข้ไม่ลดใน 3 วัน ซีดเหลือง หรือสงสัยเป็นโลหิตเป็นพิษ หรือบาดแผลมีลักษณะอักเสบรุนแรงในผู้ที่เป็นเบาหวานอยู่ก่อน มักจะต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล
หากสงสัยเป็นแผลอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นแผลอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
- มีไข้สูง หนาวสั่น ซึม หรือเบื่ออาหาร
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
แผลอักเสบเป็นหนองมักเกิดจากการดูแลบาดแผลสด (เช่น แผลถลอก มีดบาด) ที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงควรแนะนำการดูแลบาดแผลสด ดังนี้
- เมื่อมีบาดแผลสด ควรล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ทันที เพื่อชะล้างเอาสิ่งสกปรกออกไป
- ทารอบแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีน อย่าใช้น้ำยาฆ่าเชื้อรวมทั้ง ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ทาหรือฟอกตรงเนื้อแผล เนื่องจากน้ำยาฆ่าเชื้ออาจทำลายเนื้อเยื่อ ทำให้แผลหายช้าได้
- อย่าให้แผลถูกน้ำ หรือใช้น้ำลาย น้ำหมาก หรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ พอกที่แผล
- ควรพักส่วนที่เป็นบาดแผลให้มาก ๆ
- กินอาหารได้ตามปกติ ควรกินอาหารพวกโปรตีน ผักและผลไม้ให้มาก ๆ
- ถ้าบาดแผลสกปรก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้ยาปฏิชีวนะ
1. ควรพักแขนขาส่วนที่มีบาดแผล (เช่น อย่าเดินหรือใช้งานมาก) และยกส่วนนั้นให้สูง เช่น ถ้ามีบาดแผลที่เท้า ควรนอนพักและใช้หมอนรองเท้าให้สูงกว่าระดับหน้าอก ถ้ามีบาดแผลที่มือ ควรใช้ผ้าคล้องแขนกับลำคอให้บาดแผลอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ
2. ไม่มีอาหารใด ๆ ที่แสลงต่อบาดแผล ไม่ว่าจะเป็น ไข่ เนื้อ ส้ม (ดังที่ชาวบ้านมักเชื่อกันอย่างผิด ๆ) ตรงกันข้ามควรบำรุงด้วยอาหารพวกโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ให้มาก ๆ จะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
3. ไม่ควรทาแผลด้วยเพนิซิลลิน (ทั้งชนิดขี้ผึ้งหรือยาฉีดที่เรียกว่า โปรเคน) หรือซัลฟา (ทั้งชนิดขี้ผึ้งหรือยาผง) ยานี้ระยะแรก ๆ อาจทำให้แผลแห้ง แต่ทาต่อไปจะทำให้เกิดการแพ้ มีอาการบวมคัน และแผลกลับเฟะได้ ถ้าจะใช้ยาทาควรใช้ขี้ผึ้งเตตราไซคลีนหรือครีมเจนตาไมซิน น้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อม
4. ผู้ที่เป็นแผลเรื้อรังไม่หายขาด อาจเนื่องจากมีภาวะซีดหรือขาดอาหาร จึงควรบำรุงอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารพวกโปรตีน
นอกจากนี้อาจมีสาเหตุจากเบาหวาน ควรตรวจดูน้ำตาลในปัสสาวะหรือในเลือด ถ้าสงสัยเป็นเบาหวาน ควรส่งโรงพยาบาล
5. ฉีดยาป้องกันบาดทะยักในรายที่จำเป็น (ดูโรค "บาดทะยัก" เพิ่มเติม)