เกิดจากเชื้อราที่มีชื่อว่า มาลาสซีเซียเฟอร์เฟอร์ (Malassezia furfur)* ซึ่งเป็นเชื้อราที่มีอยู่ตามหนังศีรษะของคนเราเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว
ในคนปกติถึงแม้จะมีเชื้อราชนิดนี้อยู่บนร่างกายก็ไม่ได้ทำให้เกิดโรค แต่คนบางคนที่มีเหงื่อออกมาก เชื้อรานี้จะเจริญงอกงามจนทำให้กลายเป็นเกลื้อน
*เดิมมีชื่อเรียกว่า พิไทโรสปอรัมโอวาเล (Pityrosporum ovale) ซึ่งนอกจากเป็นสาเหตุของโรคเกลื้อนแล้ว ยังสัมพันธ์กับการเกิดโรคผิวหนังอักเสบชนิดเกล็ดรังแค และรังแค
มีผื่นขึ้นเป็นดวงกลมเล็ก ๆ ขนาดประมาณ 4-5 มม. จำนวนหลายดวง กระจายทั่วไปในบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก เช่น หน้า ซอกคอ หลัง ไหล่ เป็นต้น ผื่นมักแยกกันอยู่เป็นดวง ๆ บางครั้งอาจต่อกันเป็นแผ่นขนาดใหญ่ ผื่นจะมีสีได้หลายสี ตั้งแต่สีขาว น้ำตาลจาง ๆ จนถึงน้ำตาลแดง เห็นเป็นรอยด่าง หรือรอยแต้ม
ในระยะที่เป็นใหม่ ๆ ถ้าใช้เล็บหรือปากกาขูดเบา ๆ ผื่นเหล่านี้จะร่วนออกมาเป็นขุยขาว ๆ
มักไม่มีอาการคัน ยกเว้นในบางครั้งขณะมีเหงื่อออกมาก อาจรู้สึกคันเล็กน้อยพอรำคาญ
เกลื้อนที่บริเวณหลัง
โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากมักเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง และแลดูน่าเกลียด
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจลักษณะของรอยโรค การใช้เล็บหรือปากกาขูดเบา ๆ บนรอยโรค ผื่นจะร่วนออกมาเป็นขุยขาว ๆ
หากไม่แน่ใจ จะทำการวินิจฉัยโดยการขูดเอาขุย ๆ ของผิวหนังส่วนที่เป็นโรค ใส่น้ำยาโพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ชนิด 10% แล้วนำไปส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ถ้าเป็นเกลื้อนจะตรวจพบเชื้อราที่เป็นสาเหตุ
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
ทาด้วยครีมรักษาโรคเชื้อราวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นหลังอาบน้ำ ถ้าดีขึ้นควรทาติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์
หรือใช้แชมพูสระผมเซลซัน (มีตัวยาซีลีเนียมซัลไฟด์) โดยอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งก่อน แล้วใช้สำลีชุบยาทาบริเวณที่เป็นเกลื้อน ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วอาบน้ำใหม่ล้างยาออก ทำเช่นนี้วันละครั้ง นาน 6 สัปดาห์ แต่ระวังอาจแพ้ เกิดอาการบวมแดง คัน หรือแสบร้อนคล้ายน้ำร้อนลวกได้ ถ้าแพ้ควรเลิกใช้
หรือใช้แชมพูคีโตโคนาโซล ทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก วันละครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน
ในรายที่เป็นมากและบริเวณกว้างหรือเป็นเรื้อรัง แพทย์จะให้กินยาต้านเชื้อรา เช่น ไอทราโคนาโซล (Itraconazole), ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) เป็นต้น
ถ้ามั่นใจหรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเกลื้อน ควรดูแลตนเองด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ทาด้วยขี้ผึ้งรักษากลากเกลื้อน หรือครีมรักษาโรคเชื้อรา (ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร) วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นหลังอาบน้ำ ถ้าดีขึ้นควรทาติดต่อกันทุกวันเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์
- ใช้แชมพูสระผมเซลซัน (มีตัวยาซีลีเนียมซัลไฟด์) โดยอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้งก่อน แล้วใช้สำลีชุบยาทาบริเวณที่เป็นเกลื้อน ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วอาบน้ำใหม่ล้างยาออก ทำเช่นนี้วันละครั้ง นาน 6 สัปดาห์ แต่ระวังอาจแพ้ เกิดอาการบวมแดง คัน หรือแสบร้อน คล้ายน้ำร้อนลวกได้ ถ้าแพ้ควรเลิกใช้
- ใช้แชมพูคีโตโคนาโซล ทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก วันละครั้ง ติดต่อกัน 5 วัน
ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์
- รอยโรคลุกลามมากขึ้น
- มีอาการกำเริบใหม่ หรือหาทางป้องกันไม่ได้ผล
- มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง
1. อย่าใส่เสื้อผ้าที่อับเหงื่อนาน ๆ ควรรักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้าอยู่เสมอ
2. บางรายเมื่อรักษาหายแล้วอาจกำเริบได้ใหม่อีก อาจป้องกันได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนี้
- ทาครีมรักษาโรคเชื้อราทุกเดือน เดือนละ 2 วันติดต่อกัน ทาวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็นหลังอาบน้ำ
- ทาแชมพูเซลซันเดือนละครั้ง หรือแชมพูคีโตโคนาโซล 1 ครั้ง ทุก 2 สัปดาห์
- ถ้าไม่ได้ผลแพทย์จะให้กินยาไอทราโคนาโซล (itraconazole) หรือฟลูโคนาโซล (fluconazole) เดือนละครั้ง
1. หลีกเลี่ยงการซื้อยาครีมสเตียรอยด์ (แก้แพ้แก้คัน) หรือยาอื่นที่ไม่ใช่ยารักษาเชื้อราหรือยารักษาโรคกลากเกลื้อนที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำมาใช้เอง เนื่องเพราะครีมสเตียรอยด์อาจทำให้โรคลุกลามได้ ส่วนยาน้ำที่ทาแล้วที่รู้สึกแสบ ๆ อาจทำให้ผิวหนังไหม้และอักเสบได้
2. ผู้ที่เคยเป็นเกลื้อน เมื่อหายแล้วอาจเป็นใหม่ได้อีก เพราะเชื้อราที่เป็นสาเหตุเป็นเชื้อราที่อยู่ในร่างกายของคนเราเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุ อาจมีภาวะผิดปกติของร่างกายอื่น ๆ (เช่น เอดส์) ร่วมด้วย
3. รอยด่างขาวที่ผิวหนัง ถ้าเป็นเกลื้อนผิวหนังบริเวณนั้นจะย่นเล็กน้อย และมีเกล็ดบางเลื่อมสีขาว น้ำตาล หรือแดงเรื่อ ๆ คลุมอยู่บนผิว เวลาเอาเล็บขูดจะเป็นขุย ควรแยกออกจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น โรคด่างขาว กลากน้ำนม ซึ่งทาด้วยยารักษาเกลื้อนจะไม่ได้ผล (ตรวจอาการผื่น/ตุ่ม/วงด่าง)