*แต่เดิมมีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น mucoid colitis, spastic colon, spastic bowel, irritable colon
- ความเครียดทางจิตใจ วิตกกังวล ซึมเศร้า
- อาหารบางชนิด เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม อาหารเผ็ดจัด มันจัด กะทิ ข้าวสาลี หัวหอม กระเทียม ถั่วต่าง ๆ ผลไม้ น้ำหวาน น้ำผึ้ง แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต แยม หมากฝรั่ง โคล่า น้ำโซดา น้ำอัดลม เป็นต้น
- อาหารมื้อหนัก (กินปริมาณมาก) หรือกินอาหารหลังปล่อยให้ท้องว่างมานาน หรือกินอาหารเร็ว ๆ
- ยาบางชนิดที่มีผลข้างเคียงทำให้ท้องผูกหรือท้องเดิน
- ขณะมีประจำเดือน
- การติดเชื้อแบคทีเรียในลำไส้
นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีภาวะอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น โรคกังวลทั่วไป โรคซึมเศร้า อาหารไม่ย่อย ไมเกรน อาการปวดศีรษะ ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัว ปวดประจำเดือน ปัสสาวะบ่อยหรือกลั้นไม่ได้ นอนไม่หลับ เป็นต้น
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก
การตรวจร่างกายมักไม่พบสิ่งผิดปกติชัดเจน นอกจากอาจพบอาการท้องอืด มีลมในท้องมาก
ในรายที่สงสัยว่าอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ซึ่งมักมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด ถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือดเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือดสดหรือถ่ายดำ ซีด ดีซ่าน เป็นต้น แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหารและ/หรือลำไส้ใหญ่ เป็นต้น
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคลำไส้แปรปรวน
- อาการทุเลาหลังถ่ายอุจจาระ หรือ
- เมื่อมีอาการเกิดขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงความถี่ (จำนวนครั้ง) ของการถ่ายอุจจาระ หรือ
- เมื่อมีอาการเกิดขึ้น จะมีการเปลี่ยนแปลงของลักษณะอุจจาระ
หมายเหตุ
1. อาการต่อไปนี้ ช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรคลำไส้แปรปรวน
- จำนวนครั้งของการถ่ายอุจจาระต่อวันผิดปกติ (มากกว่า 3 ครั้ง/วัน หรือน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์)
- ลักษณะอุจจาระผิดปกติ (เป็นก้อนแข็ง ถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายเหลว)
- มีอาการผิดปกติของการถ่ายอุจจาระ (ต้องเบ่งถ่าย ปวดท้องถ่ายทันทีจนกลั้นไม่อยู่ หรือรู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด ต้องวิ่งเข้าห้องน้ำถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ)
- ถ่ายเป็นมูกปนมากับอุจจาระ
- มีอาการท้องอืด มีลมในท้องมาก
2. อาการต่อไปนี้ ทำให้นึกถึงโรคนี้น้อยลง และควรหาสาเหตุอื่น
- ซีด
- เลือดออกในทางเดินอาหาร
- ไข้
- ท้องเดินอย่างต่อเนื่อง
- ท้องผูกรุนแรง
- น้ำหนักลด
- ปวดท้อง และถ่ายอุจจาระหลังนอนหลับตอนกลางคืน
- มีประวัติของมะเร็งลำไส้ใหญ่ในครอบครัว
- เริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป
เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคลำไส้แปรปรวน ควรดูแลรักษา และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนี้
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ
- ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีความเครียดเป็นเหตุกำเริบ เช่น ฝึกโยคะ รำมวยจีน ฝึกสมาธิ สวดมนต์ ทำงานอดิเรก เป็นต้น
-
หลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นเหตุกำเริบ (เช่น นม อาหารรสเผ็ด อาหารมัน ถั่วต่าง ๆ อะโวคาโด เบอร์รี แอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำหวาน น้ำผึ้ง น้ำโซดา น้ำอัดลม เป็นต้น) กินอาหารช้า ๆ กินอาหารพออิ่ม หรือมื้อละน้อยแต่บ่อยขึ้น กินอาหารให้ตรงเวลาทุกวัน (อย่ากินเลยเวลามื้ออาหารหรืองดกินอาหารบางมื้อ)
- หลีกเลี่ยงยาที่มีผลให้เกิดอาการท้องผูกหรือท้องเดิน
- ในช่วงที่มีอาการท้องผูกกำเริบ ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ วันละประมาณ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) และกินอาหารที่มีกากใยสูง (ผัก ผลไม้ ธัญพืช) ให้มาก ๆ
- ในช่วงที่มีอาการท้องเดินกำเริบ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และงดอาหารที่มีกากใยสูง อาหารรสเผ็ด ชา กาแฟ แอลกอฮอล์
ควรกลับไปพบแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการปวดท้องรุนแรง
- มีอาการลุกขึ้นถ่ายตอนดึก หรือถ่ายบ่อยทุกวันนานเกิน 1 สัปดาห์
- ถ่ายเป็นมูกมีกลิ่นเหม็น หรือมูกปนเลือด หรือเป็นเลือดสด หรือถ่ายอุจจาระดำ
- มีภาวะซีด
- มีอาการอ่อนเพลีย หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีไข้ร่วมด้วยทุกวัน นานเกิน 1 สัปดาห์
- เริ่มมีอาการครั้งแรกเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด
- มีความวิตกกังวล
1. ถึงแม้โรคนี้จะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง และไม่มียารักษาโดยเฉพาะหรือให้หายขาด แต่ก็ไม่มีอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งไม่กลายเป็นมะเร็งหรือโรคร้ายแรงอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะมีอาการไม่รุนแรง เพียงสร้างความรำคาญหรือความลำบากในการคอยหาห้องน้ำ เวลาเดินทางออกนอกบ้าน หากจำเป็นก็สามารถใช้ยาบรรเทาอาการเป็นครั้งคราว
2. ผู้ที่มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก หรือท้องเดินเรื้อรัง มักเกิดจากโรคลำไส้แปรปรวนเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พึงระวังว่า อาการเหล่านี้อาจเกิดจากสาเหตุที่ร้ายแรง เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ซึ่งมักมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนั้นควรตรวจดูอาการให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ไม่ควรด่วนคิดว่าเป็นโรคลำไส้แปรปรวน
3. ในปัจจุบันยาที่รักษาโรคนี้เป็นเพียงยาที่ใช้บรรเทาอาการชั่วคราว เช่น ยาระบายแก้ท้องผูก ยาแก้ท้องเดิน มีข้อเสียว่าถ้าใช้มาก ก็จะมีผลข้างเคียงให้เกิดอาการตรงกันข้าม เช่น ยาระบายแก้ท้องผูก อาจทำให้มีอาการท้องเดินตามมา ยาแก้ท้องเดิน อาจทำให้มีอาการท้องผูกตามมา ดังนั้นควรเน้นการปรับพฤติกรรมตนเองเกี่ยวกับการดำเนินชีวิต อาหารการกิน การออกกำลังกาย และการผ่อนคลายความเครียดเป็นหลัก ควรใช้ยาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น