
ส่วนใหญ่เป็นการแท้งที่เกิดขึ้นเอง ซึ่งมากกว่าร้อยละ 50 เกิดจากตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์มีความผิดปกติ (เช่น มีโครโมโซมที่ผิดปกติ)
บางส่วนเกิดจากมารดามีโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ภาวะพร่องไทรอยด์ ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน เอสแอลอี โรคคุชชิง กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง) หรือโรคติดเชื้อต่าง ๆ (เช่น หัด หัดเยอรมัน มาลาเรีย), มีภาวะหมู่เลือดของทารกและมารดาเข้ากันไม่ได้ (Rh incompatability), มารดามีมดลูกที่ผิดปกติ (เช่น มีก้อนเนื้องอก การอักเสบ ความผิดปกติที่มีมาแต่กำเนิด), มารดาสูบบุหรี่ ดื่มสุราจัด หรือเสพสารเสพติด, หรือมารดาได้รับพิษจากรังสีหรือสารเคมี
ส่วนน้อยอาจเกิดจากการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง (เช่น การบาดเจ็บ หกล้ม) หรือการตั้งใจกินยาขับ หรือให้คนทำแท้ง
บางรายอาจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจนก็ได้
ในระยะแรกที่ทารกหรือตัวอ่อนยังมีชีวิตอยู่ อาจมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดเพียงเล็กน้อย ร่วมกับปวดในท้องน้อยและปวดหลังเล็กน้อย หากผู้ป่วยได้นอนพักเต็มที่ 3-4 วัน เลือดอาจหยุดได้เอง และการตั้งครรภ์อาจดำเนินต่อไปได้เป็นปกติ
ระยะนี้ถือว่า ยังไม่มีการแท้งเกิดขึ้น เรียกว่า การแท้งคุกคาม (threatened abortion)
แต่ถ้าตัวอ่อนเสียชีวิตลง การแท้งจะเกิดขึ้น ผู้ป่วยจะมีอาการตกเลือดมาก ปวดบิดในท้องรุนแรงคล้ายคลอดบุตร และอาจเห็นก้อนชิ้นเนื้อของตัวอ่อนหลุดออกมา
ถ้าตัวอ่อนและเศษรกหลุดออกมาได้หมด อาการตกเลือดจะค่อย ๆ หยุดลง และค่อย ๆ หายปวดท้อง เรียกว่า การแท้งโดยสมบูรณ์ (complete abortion)
แต่ถ้ายังมีเศษรกค้างอยู่ ผู้ป่วยก็ยังคงมีอาการปวดท้องและตกเลือดต่อไป เรียกว่า การแท้งไม่สมบูรณ์ (incomplete abortion) ซึ่งอาจต้องทำการขูดมดลูกนำเศษรกที่ค้างออก
ถ้าผู้ป่วยเสียเลือดมาก อาจมีอาการซีด หรือถึงกับเกิดภาวะช็อก

ถ้าเสียเลือดมากอาจเกิดภาวะช็อกหรือโลหิตจาง
บางรายอาจเกิดการติดเชื้อกลายเป็นเยื่อบุมดลูกอักเสบและอาจกลายเป็นหมันได้
ในรายที่ทำแท้งกันเองโดยใช้เครื่องมือหรือสารสกปรก มดลูกอาจเกิดการติดเชื้อรุนแรง และอาจกลายเป็นโลหิตเป็นพิษถึงตายได้
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ การตรวจร่างกาย และการตรวจภายใน แพทย์จะวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ปัสสาวะ และอัลตราซาวนด์
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ถ้าเลือดออกไม่มาก ปวดท้องไม่มาก และยังไม่มีตัวอ่อนหลุดออกมาให้เห็น แนะนำให้ผู้ป่วยนอนบนเตียง 3-4 วัน อย่าทำงาน อาจให้ยาพาราเซตามอลกินแก้ปวด
ถ้าเลือดหยุดและหายปวดท้อง ทารกก็มักจะมีชีวิตรอด และการตั้งครรภ์สามารถดำเนินต่อไปได้
2. ถ้าเลือดออกมาก ปวดท้องมาก และมีตัวอ่อนหลุดออกมาให้เห็น แสดงว่ามีการแท้งเกิดขึ้นแล้ว แพทย์จะทำการขูดมดลูกเอาเศษรกออก
ในรายที่ตกเลือดมากหรือมีภาวะช็อก อาจต้องให้เลือด
3. ถ้ามีตัวอ่อนหลุดออกมาแล้ว ผู้ป่วยหายปวดท้อง และเลือดออกน้อยลงก็ให้ผู้ป่วยนอนพัก ถ้าซีดให้ยาบำรุงโลหิต
ถ้ายังมีเลือดออกอยู่เรื่อย ๆ ให้ฉีดยาบีบมดลูก เช่น เมทิลเออร์โกเมทรีน (0.2 มก.) 1/2-1 หลอด เข้ากล้ามเนื้อ
4. ในรายที่สงสัยมีการอักเสบของเยื่อบุมดลูกร่วมด้วย เช่น มีไข้ มีตกขาวกลิ่นเหม็น ให้การรักษาแบบเยื่อบุมดลูกอักเสบ
หากสงสัย เช่น หลังตั้งครรภ์ได้ระยะหนึ่ง มีอาการปวดท้องน้อย และมีเลือดออกจากช่องคลอด ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
เมื่อตรวจพบว่าแท้งบุตร ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการไข้สูง ซีด ปวดท้องมาก หรือเลือดไม่หยุดออกจากช่องคลอด
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากการแท้งบุตรมักมีสาเหตุที่ไม่อาจควบคุมได้
อาจลดความเสี่ยงของการแท้งบุตรลงด้วยการรักษาโรคประจำตัวของมารดาให้ได้ผล (เช่น เบาหวาน โรคไทรอยด์) และมารดาควรงดบริโภคสุรา ยาสูบ และยาเสพติด รวมทั้งควรงดหรือลดการดื่มกาแฟ (มีงานวิจัยพบว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ดื่มกาแฟเกินวันละ 2 แก้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร)
1. การทำแท้งกันเองเป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะอาจติดเชื้ออักเสบถึงตายได้ จึงควรหลีกเลี่ยง หากมีปัญหาตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้อง
2. ผู้ที่เคยแท้งเองมาก่อน อาจมีโอกาสแท้งได้ในครรภ์ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเคยแท้งติดต่อกันตั้งแต่ 2 ท้องขึ้นไป การตั้งครรภ์ในครั้งต่อไป ควรฝากครรภ์เสียแต่เนิ่น ๆ และพักผ่อนให้มาก ๆ ผู้ที่เคยแท้งติดต่อกัน 3 ท้องขึ้นไปเรียกว่า การแท้งเป็นอาจิณ (habitual abortion) ซึ่งมักมีสาเหตุที่เกี่ยวกับความผิดปกติของมดลูกหรือทารกในครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุและแก้ไข