
ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis)
เรียบเรียงข้อมูลโดย รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) ข้อมูลโรค พร้อมโปรแกรมตรวจอาการเบื้องต้น
ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) อาการ สาเหตุ การป้องกันและรักษา พร้อมโปรแกรม “หมอประจำบ้าน” อัจฉริยะ Doctor at Home ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตัวเอง

ช่องคลอดอักเสบ เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทั่วไป ซึ่งอาจมีสาเหตุ อาการและการรักษาที่แตกต่างกัน
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงช่องคลอดอักเสบที่พบบ่อย ได้แก่ ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา และ ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อพยาธิทริโคโมแนส
ส่วนช่องคลอดอักเสบในหญิงวัยหมดประจำเดือน ดูเพิ่มเติมที่โรคของหญิงวัยหมดประจำเดือน
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Candidal vaginitis)
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Candidal vaginitis) เป็นภาวะที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่กินยาปฏิชีวนะ พร่ำเพรื่อ กินยาคุมกำเนิด ใส่ห่วงคุมกำเนิด และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เบาหวาน เอดส์)
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อราที่ชื่อว่า แคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดเดียวกับที่ทำให้ลิ้นเป็นฝ้าขาว ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยจะมีเชื้อราชนิดนี้อยู่ในช่องคลอด แต่จะไม่แสดงอาการอักเสบแต่อย่างใด
เนื่องจากแบคทีเรียประจำถิ่นในช่องคลอดคอยสร้างกรดช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อราเจริญแพร่พันธุ์ แต่ถ้าหากมีภาวะบางอย่างที่ทำให้แบคทีเรียเหล่านี้ถูกทำลาย เช่น การกินยาปฏิชีวนะ (เช่น เตตราไซคลีน อะม็อกซีซิลลิน เป็นต้น) นาน ๆ หรือการสวนล้างช่องคลอด เป็นต้น จะทำให้เชื้อราเจริญได้ นอกจากนี้การกินยาคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือการตั้งครรภ์ ก็อาจเปลี่ยนแปลงสภาพภายในช่องคลอด ทำให้เชื้อราเจริญได้เช่นกัน
เนื่องจากแบคทีเรียประจำถิ่นในช่องคลอดคอยสร้างกรดช่วยควบคุมไม่ให้เชื้อราเจริญแพร่พันธุ์ แต่ถ้าหากมีภาวะบางอย่างที่ทำให้แบคทีเรียเหล่านี้ถูกทำลาย เช่น การกินยาปฏิชีวนะ (เช่น เตตราไซคลีน อะม็อกซีซิลลิน เป็นต้น) นาน ๆ หรือการสวนล้างช่องคลอด เป็นต้น จะทำให้เชื้อราเจริญได้ นอกจากนี้การกินยาคุมกำเนิด การใส่ห่วงคุมกำเนิด หรือการตั้งครรภ์ ก็อาจเปลี่ยนแปลงสภาพภายในช่องคลอด ทำให้เชื้อราเจริญได้เช่นกัน
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการคันในช่องคลอด หรือรอบ ๆ ปากช่องคลอดอย่างมาก และมีตกขาวลักษณะข้นขาวคล้ายแป้งเปียกหรือคราบนม อาจมีอาการปวดเฉียบขณะร่วมเพศ (dyspareunia) หรือมีอาการปัสสาวะบ่อยและปวดแสบปวดร้อนร่วมด้วย บางรายอาจมีผื่นแดงรอบ ๆ ปากช่องคลอดหรือบริเวณขาหนีบ
ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้ไม่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง แต่ทำให้มีอาการคันในช่องคลอดรุนแรง จนบางครั้งทำให้เสียบุคลิกภาพ
นอกจากนี้ เมื่อรักษาหายแล้วอาจเกิดอาการกำเริบได้บ่อย
นอกจากนี้ เมื่อรักษาหายแล้วอาจเกิดอาการกำเริบได้บ่อย
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายในช่องคลอด และนำตกขาวไปตรวจส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อราที่เป็นสาเหตุ
การรักษาโดยแพทย์
แพทย์จะให้ยาเหน็บช่องคลอดซึ่งเข้ายาฆ่าเชื้อรา เช่น ยาเหน็บช่องคลอดนิสแตติน (nystatin) ยาเหน็บช่องคลอดโคลไตรมาโซล (clotrimazole) หรือให้กินยาฆ่าเชื้อรา เช่น คีโตโคนาโซล
ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ในรายที่กำเริบบ่อย แพทย์อาจทำการตรวจเลือดดูว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวานหรือโรคเอดส์แฝงอยู่หรือไม่
ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
ในรายที่กำเริบบ่อย แพทย์อาจทำการตรวจเลือดดูว่าผู้ป่วยเป็นเบาหวานหรือโรคเอดส์แฝงอยู่หรือไม่
การดูแลตนเอง
ถ้าหากสงสัย เช่น มีอาการคันในช่องคลอด หรือรอบ ๆ ปากช่องคลอดอย่างมาก และมีตกขาวลักษณะข้นขาวคล้ายแป้งเปียกหรือคราบนม ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา ควรดูแลตนเอง ดังนี้
เมื่อตรวจพบว่าเป็นช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
- มีอาการกำเริบซ้ำ
- ในรายที่แพทย์ให้ยารักษา หากใช้ยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
การป้องกัน
การป้องกันช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา ให้หลีกเลี่ยงการสวมใส่กางเกงในที่ทำจากไนลอน หรือใยสังเคราะห์ เพราะทำให้อับชื้น ซึ่งเชื้อราอาจเจริญง่าย อย่าสวนล้างช่องคลอดโดยไม่จำเป็น และอย่ากินยาปฏิชีวนะ (หรือยาชุดที่เข้ายาปฏิชีวนะ) โดยไม่จำเป็น
ข้อแนะนำ
1. ผู้หญิงที่กินยาเม็ดคุมกำเนิด ถ้ามีอาการของโรคนี้เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง ควรเลิกกินยาคุมกำเนิด และหันไปคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นแทน
2. อาการช่องคลอดอักเสบ (ตกขาวและคัน) อาจเป็นอาการแทรกซ้อนของผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือเอดส์ก็ได้ หากมีอาการช่องคลอดอักเสบบ่อยหรือสงสัยควรตรวจน้ำตาลในเลือดและเชื้อเอชไอวี
2. อาการช่องคลอดอักเสบ (ตกขาวและคัน) อาจเป็นอาการแทรกซ้อนของผู้ที่เป็นเบาหวาน หรือเอดส์ก็ได้ หากมีอาการช่องคลอดอักเสบบ่อยหรือสงสัยควรตรวจน้ำตาลในเลือดและเชื้อเอชไอวี
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis)
ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส (Trichomoniasis vaginitis) เป็นโรคที่พบได้เป็นครั้งคราว ซึ่งไม่มีอันตรายร้ายแรง ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (กามโรค) ชนิดหนึ่ง
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อโปรโตชัว (สัตว์เซลล์เดียว) ซึ่งเป็นพยาธิขนาดเล็ก ๆ ที่มีชื่อว่า ทริโคโมแนสวาจินาลิส (Trichomonas vaginalis) ติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่เป็นโรคนี้
อาการ
ผู้ป่วยจะมีอาการคันในช่องคลอดมาก บางครั้งอาจมีอาการขัดเบา หรือปวดแสบปวดร้อนเวลาปัสสาวะ และมีอาการตกขาวออกเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นเหม็น มักออกเป็นจำนวนมาก และมีลักษณะเป็นฟอง ๆ
ภาวะแทรกซ้อน
ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (เช่น หนองใน เอดส์)
ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้อาจทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวต่ำ
ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคนี้อาจทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวต่ำ
การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ จะวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจภายในช่องคลอด และนำตกขาวไปตรวจส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะพบเชื้อทริโคโมแนส
การรักษาโดยแพทย์
แพทย์จะให้ยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ เมโทรไนดาโซล และควรให้ฝ่ายชายกินยานี้พร้อม ๆ กันไปด้วย เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายหญิงรับเชื้อซ้ำอีก
การดูแลตนเอง
ถ้าหากสงสัย เช่น มีอาการคันในช่องคลอดมาก และมีอาการตกขาวออกเป็นสีเหลืองหรือเขียว มีกลิ่นเหม็น
ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส ควรดูแลตนเอง ดังนี้
ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นช่องคลอดอักเสบจากเชื้อทริโคโมแนส ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- ถ้าจะหลับนอนกับสามี ควรให้สามีสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
- มีอาการกำเริบซ้ำ
- ในรายที่แพทย์ให้ยารักษา หากใช้ยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
การป้องกัน
ใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์
ข้อแนะนำ
1. โรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนในหญิงตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการตกขาวและคัน ควรได้รับการตรวจรักษาอย่างจริงจัง
2. ผู้ชายที่ติดเชื้อตัวนี้ ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง แต่สามารถแพร่เชื้อให้ฝ่ายหญิง
ส่วนน้อยที่อาจมีอาการท่อปัสสาวะอักเสบ (ขัดเบา มีหนองไหลเล็กน้อยแบบหนองในเทียม) หรือต่อมลูกหมากอักเสบ
ทางที่ดี ถ้าพบว่าฝ่ายหญิงเป็นโรคนี้ ควรให้ฝ่ายชายกินยารักษาพร้อม ๆ กันไปด้วย
2. ผู้ชายที่ติดเชื้อตัวนี้ ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง แต่สามารถแพร่เชื้อให้ฝ่ายหญิง
ส่วนน้อยที่อาจมีอาการท่อปัสสาวะอักเสบ (ขัดเบา มีหนองไหลเล็กน้อยแบบหนองในเทียม) หรือต่อมลูกหมากอักเสบ
ทางที่ดี ถ้าพบว่าฝ่ายหญิงเป็นโรคนี้ ควรให้ฝ่ายชายกินยารักษาพร้อม ๆ กันไปด้วย
ข้อมูลล่าสุด : 1 ธ.ค. 2564
Doctor at Home
โปรแกรม "หมอประจำบ้าน" อัจฉริยะ ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตัวเอง
โปรดเลือกอาการที่เป็นสัญญาณของ "ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis)" เพื่อตรวจอาการเบื้องต้น ก่อนไปพบแพทย์