ในที่สุดจะเกิดภาวะไตวาย และตายได้
ภาวะไตวาย ช็อก ภาวะเลือดจับเป็นลิ่มทั่วร่างกาย (DIC)
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบไข้ ซีด เหลือง จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว อาจคลำได้ตับโต ม้ามโต
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ นำเลือดหรือปัสสาวะไปเพาะเชื้อ และตรวจพิเศษอื่น ๆ
แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ฉีดเพนิซิลลินขนาดสูง ๆ หรือฉีดเจนตาไมซิน (gentamicin) คาร์เบนิซิลลิน (carbenicillin) เซฟาโลสปอริน (cephalosporin) หรือยาปฏิชีวนะอื่น ๆ ตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ
นอกจากนี้จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้น้ำเกลือ ให้เลือด ทำการล้างไต (dialysis) เป็นต้น
หากสงสัย เช่น มีไข้สูงร่วมกับอาการหนาวสั่น ซึม กระสับกระส่าย เบื่ออาหาร ซีด ตาเหลืองตัวเหลือง มีจุดแดงจ้ำเขียวขึ้นตามตัว หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ (เช่น เลือดกำเดา เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด เป็นต้น) หรือมีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
เมื่อตรวจพบว่าเป็นโลหิตเป็นพิษ ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- หลังออกจากโรงพยาบาล มีอาการไข้กำเริบ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกวิตกกังวล
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
เมื่อเป็นโรคติดเชื้อต่าง ๆ โดยมักมีไข้ร่วมกับอาการอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ จนหายขาด ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่เป็นเบาหวาน มะเร็ง หรือกินยาสเตียรอยด์นาน ๆ
ถ้าพบผู้ที่เป็นไข้เรื้อรัง (นานกว่า 1-2 สัปดาห์) หรือเป็นโรคติดเชื้อซึ่งได้รับยาปฏิชีวนะ 3-4 วันแล้วไข้ไม่ลด ควรกลับไปพบแพทย์ที่ให้การรักษาโดยเร็ว อย่าปล่อยจนกระทั่งกลายเป็นโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อน ซึ่งยากแก่การรักษา และสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายสูง