ไข้เลือดออก เป็นโรคติดเชื้อที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง ซึ่งพบได้ในทุกกลุ่มอายุ พบมากสุดในกลุ่มเด็กอายุ 5-14 ปี รองลงมา 15-24 ปี และ 0-4 ปีตามลำดับ
โรคนี้พบได้ตลอดทั้งปี และทั่วทุกภาค โดยจำนวนผู้ป่วยเริ่มมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตอนต้นเดือนพฤษภาคม จนมีจำนวนสูงสุดในเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูฝน แล้วเริ่มมีแนวโน้มลดลงตอนปลายเดือนตุลาคม โรคนี้มีแนวโน้มเกิดการระบาดปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี
โดยทั่วไปเมื่อได้รับเชื้อไวรัสเด็งกีเข้าไปครั้งแรก (สามารถติดเชื้อตั้งแต่อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป) โดยมีระยะฟักตัวประมาณ 3-15 วัน (ส่วนมาก 5-7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่อยู่ 5-7 วัน และส่วนมากจะไม่มีอาการเลือดออก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีเลือดออก หรือมีอาการรุนแรง เรียกว่า ไข้เด็งกี (dengue fever/DF)*
อาการที่พบได้ก็คือ มีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา ปวดเมื่อยตามตัวคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดยมักไม่มีอาการเป็นหวัดเจ็บคอแบบไข้หวัด ผู้ป่วยอาจมีผื่นแดงเล็กคล้ายหัดขึ้นตามตัว (ซึ่งบางรายอาจมีอาการคัน) บางรายอาจมีจุดแดง (จุดเลือดออก) ตามผิวหนัง
บางรายเมื่อทำการทดสอบทูร์นิเคต์อาจให้ผลบวก การตรวจเลือดพบว่าเม็ดเลือดขาวต่ำ และบางรายอาจพบเกล็ดเลือดต่ำ
โรคนี้มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ โดยที่ผู้ป่วยอาจรักษาตัวเองอยู่ที่บ้าน หรือหากไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะวินิจฉัยจากอาการ (โดยไม่ได้ทำการทดสอบทูร์นิเคต์ และไม่ได้ตรวจเลือด) ว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือโรคติดเชื้อไวรัสชนิดอื่น ๆ (เช่น ไข้ปวดข้อยุงลาย ไข้ซิกา) เพียงให้การรักษาตามอาการและติดตามสังเกตอาการ ซึ่งมักจะไม่ได้วินิจฉัยว่าเป็นไข้เด็งกี
ผู้ป่วยที่เคยติดเชื้อเด็งกีครั้งแรก จึงมักจะไม่รู้ว่าตัวเองเคยติดเชื้อเด็งกี หากในเวลาต่อมาเกิดการติดเชื้อเด็งกีซ้ำ ก็จะกลายเป็นไข้เลือดออกได้
อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ซึ่งมักมีลักษณะไข้สูงลอยตลอดเวลา หรือกินยาลดไข้ก็มักจะไม่ทุเลา
มักมีอาการหน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย นอนซม เบื่ออาหาร
บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา หรือปวดท้องทั่วไป ท้องผูกหรือถ่ายเหลว
ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมากอย่างผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดหรือออกหัด แต่บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงเล็กน้อย หรือไอบ้างเล็กน้อย
ในราววันที่ 3 ของไข้ อาจมีผื่นแดงขึ้นตามแขนขาและลำตัว ซึ่งจะเป็นอยู่ 2-3 วัน บางรายอาจมีจุดเลือดออก มีลักษณะเป็นจุดแดงเล็ก ๆ (บางครั้งอาจมีจ้ำเขียวด้วยก็ได้) ขึ้นตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้ ในช่องปาก (เพดานปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่)
ในระยะนี้อาจคลำพบตับโต และมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย
การทดสอบทูร์นิเคต์* ส่วนใหญ่จะให้ผลบวกตั้งแต่วันที่ 2 ของไข้ และในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว มักจะพบมีจุดเลือดออกมากกว่า 10-20 จุดเสมอ
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยอยู่ประมาณ 2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรง ส่วนมากไข้ก็จะลดลงในวันที่ 5-7 บางราย อาจมีไข้เกิน 7 วันได้
แต่ถ้าเป็นมาก ก็จะปรากฏอาการระยะที่ 2
ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4
อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงวิกฤติของโรค
อาการไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยกลับมีอาการทรุดหนัก มีอาการปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว (อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) และความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อก ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลงมาก ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยอาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว ตัวเย็นชืด ปากเขียว ชีพจรคลำไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงที ก็อาจตายได้ภายใน 1-2 วัน
นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีน้ำมันดิบ ๆ ถ้าเลือดออกมักทำให้เกิดภาวะช็อกรุนแรง และผู้ป่วยเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว
ระยะที่ 2 นี้จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤติไปได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3
ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านช่วงวิกฤติไปแล้วก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีก็จะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ อาการที่ส่อว่าดีขึ้นก็คือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากกินอาหาร แล้วอาการต่าง ๆ จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ระยะนี้อาจกินเวลา 7-10 วัน หลังผ่านระยะที่ 2
รวมเวลาตั้งแต่เริ่มป่วยเป็นไข้จนแข็งแรงดีประมาณ 7-14 วัน ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย อาจเป็นอยู่ 3-4 วันก็หายได้เอง ส่วนอาการไข้ (ตัวร้อน) อาจเป็นอยู่ 2-7 วัน บางรายอาจนาน 10 วันก็ได้
ความรุนแรงของไข้เลือดออก
ไข้เลือดออกแบ่งระดับความรุนแรงเป็น 4 ขั้น ได้แก่
ขั้นที่ 1 (เกรด 1) มีไข้และมีอาการแสดงทั่ว ๆ ไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง อาการแสดงของการมีเลือดออกมีเพียงอย่างเดียว คือ มีจุดแดง ๆ ตามผิวหนังโดยไม่มีอาการเลือดออกอย่างอื่น ๆ และการทดสอบทูร์นิเคต์ให้ผลบวก
ขั้นที่ 2 (เกรด 2) มีอาการเพิ่มจากขั้นที่ 1 คือ มีเลือดออกเอง อาจออกเป็นจ้ำเลือดที่ใต้ผิวหนัง หรือเลือดออกจากที่อื่น ๆ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แต่ยังไม่มีภาวะช็อก ชีพจรและความดันโลหิตยังปกติ
ขั้นที่ 3 (เกรด 3) มีอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำ หรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่าง ซึ่งเรียกว่า แรงชีพจร** (pulse pressure) น้อยกว่า 30 มม.ปรอท (เช่น ความดันช่วงบน 80 ช่วงล่าง 60)
ขั้นที่ 4 (เกรด 4) มีภาวะช็อกอย่างรุนแรง ชีพจรเบาและเร็วจนจับไม่ได้ ความดันตกจนวัดไม่ได้ และ/หรือมีเลือดออกมาก เช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือดมาก
ไข้เลือดออกที่มีความรุนแรง ถึงขั้นที่ 3 และ 4 พบได้ประมาณร้อยละ 20-30 ที่เหลืออีกร้อยละ 70-80 จะแสดงอาการในขั้นที่ 1 และ 2
การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยตามขั้นต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงควรดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเปลี่ยนจากขั้นที่ 2 มาขั้น 3 และ 4 ควรจับชีพจร วัดความดันโลหิต และถ้าเป็นไปได้ควรตรวจหาความเข้มข้นของเลือดโดยการเจาะเลือดตรวจฮีมาโทคริต และตรวจนับคำนวณเกล็ดเลือดเป็นระยะ
ถ้าไม่มีเครื่องวัดความดัน ให้ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย (ยังพอคลำชีพจรที่ข้อมือได้) นาน 5 นาที
ถ้าพบมีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนใต้ตำแหน่งที่รัดเป็นจำนวนมากกว่า 10 จุดในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว (เท่ากับเหรียญบาทโดยประมาณ) แสดงว่าการทดสอบได้ผลบวก ถ้าน้อยกว่า 10 จุดก็ถือว่าได้ผลลบ
ในผู้ป่วยไข้เลือดออก การทดสอบนี้จะได้ผลบวกได้มากกว่าร้อยละ 80 ตั้งแต่เริ่มมีไข้ได้ 2 วันเป็นต้นไป ใน 1-2 วันแรกอาจให้ผลลบ
คนที่เป็นโรคเลือดที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เช่น ไอทีพี โลหิตจางอะพลาสติก หรือคนที่เป็นไข้หวัด หรือไข้อื่น ๆ ก็อาจให้ผลบวกได้เช่นกัน
ผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีภาวะช็อก การทดสอบนี้อาจให้ผลลบได้
ที่ร้ายแรงถึงทำให้เสียชีวิตได้ ได้แก่ ภาวะเลือดออกรุนแรง (ถ้ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารจำนวนมาก หรือมีเลือดออกในสมอง มักมีอัตราตายสูง) ภาวะช็อก และภาวะอวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอยู่นาน
นอกจากนี้ อาจเป็นปอดอักเสบ (อาจมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) สมองอักเสบ หลอดลมอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแทรกซ้อนได้ แต่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก
ผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงต่อการแท้งบุตร ทารกเสียชีวิตในครรภ์ คลอดก่อนกำหนด หรือทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อย
ในกรณีที่ผู้ป่วยไข้เลือดออกได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำมากไป อาจเกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เป็นอันตรายได้ ดังนั้นเวลาให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ควรตรวจดูอาการอย่างใกล้ชิด
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย
สิ่งตรวจพบที่สำคัญ ได้แก่ ไข้สูง (39-40 องศาเซลเซียส ซึ่งมักจะเป็นอยู่ตลอดเวลา) หน้าแดง เปลือกตาแดง นอนซม
อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดงหรือจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว การทดสอบทูนิเคต์ให้ผลบวก (อาจให้ผลลบในวันแรก ๆ ของไข้)
ในรายที่เป็นรุนแรง (มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ4) จะตรวจพบภาวะช็อก (มีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น เหงื่อออก ชีพจรเร็วและเบา ความดันต่ำหรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างน้อยกว่า 30 มม.ปรอท) บางรายอาจตรวจพบอาการเลือดออก (เช่น เลือดกำเดาไหลอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด)
ในรายที่ยังวินิจฉัยจากอาการและการตรวจร่างกายไม่ได้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเลือด พบเม็ดเลือดขาวมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 5,000 เซลล์ต่อเลือด 1 ลูกบาศก์มิลลิเมตร), เกล็ดเลือดมีจำนวนต่ำกว่าปกติ (ต่ำกว่า 150,000 ตัวต่อเลือด 1ลูกบาศก์มิลลิเมตร), ฮีมาโทคริต (ซึ่งวัดระดับความเข้มของเลือด) สูงกว่าปกติ เนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลง
ในการวินิจฉัยโรคนี้ให้ชัดเจน แพทย์จะทำการตรวจหาเชื้อในเลือด (ด้วยวิธี NS1 หรือ PCR ซึ่งจะให้ผลที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการไข้ 1-3 วัน) สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไข้ตั้งแต่ 4 วันขึ้นไป แพทย์อาจทำการทดสอบทางน้ำเหลือง เพื่อดูสารภูมิต้านทานต่อเชื้อไข้เลือดออกโดยวิธี ELISA (สามารถทราบผลจากการตรวจเพียงครั้งเดียว) หรือวิธี hemagglutination inhibition (HI ซึ่งต้องตรวจ 2 ครั้ง ห่างกัน 2 สัปดาห์)
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. ถ้าอาการไม่รุนแรง (มีอาการในขั้นที่ 1) คือเพียงแต่มีอาการไข้สูง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร โดยยังไม่มีอาการเลือดออกหรือมีภาวะช็อก จะให้การรักษาตามอาการ ดังนี้
- ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมาก ๆ
- หากมีไข้สูง ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อย ๆ และให้ยาลดไข้-พาราเซตามอล คำนวณขนาดตามน้ำหนักตัวหรือตามอายุ ให้ได้ไม่เกิน 4 ครั้งใน 24 ชั่วโมง ห้ามให้แอสไพริน เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น หรืออาจทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรมได้ และห้ามให้ยาลดไข้กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ให้ยาลดไข้ บางครั้งไข้ก็อาจจะไม่ลดก็ได้ ระวังอย่าให้พาราเซตามอลถี่กว่ากำหนด อาจมีพิษต่อตับได้
- ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน
- ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน) หรือสารละลายน้ำตาล เกลือแร่
- เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด อาจต้องนัดผู้ป่วยมาตรวจดูอาการทุกวัน ตรวจจับชีพจร วัดความดัน และตรวจดูอาการเลือดออก รวมทั้งทดสอบทูร์นิเคต์ ถ้าวันแรก ๆ ให้ผลลบ ก็จะทำซ้ำในวันต่อ ๆ มา
2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการอาเจียนมาก มีภาวะขาดน้ำ ช็อก หรือเลือดออก (มีอาการในขั้นที่ 2-4) แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการเจาะเลือดตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต (ดูความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ ๆ ถ้าเลือดข้นมากไป เช่น ฮีมาโทคริตมีค่ามากกว่า 50% ขึ้นไป ก็แสดงว่าปริมาตรของเลือดลดน้อย) นับจำนวนเม็ดเลือดขาว และจำนวนเกล็ดเลือด (พบว่าต่ำกว่าปกติทั้งคู่ เกล็ดเลือดจะเริ่มต่ำประมาณวันที่ 3-4 ของไข้ โรคยิ่งรุนแรงเกล็ดเลือดจะยิ่งต่ำมาก)
นอกจากนี้ อาจทำการตรวจอื่น ๆ เช่น อิเล็กโทรไลต์ในเลือด ตรวจการทำงานของตับ (มักพบ AST และ ALT สูง) ตรวจภาวะการแข็งตัวของเลือด (congulation study) ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ปอด เป็นต้น
แพทย์จะทำการรักษา โดยให้น้ำเกลือรักษาภาวะช็อกหรือภาวะขาดน้ำ ถ้าจำเป็นอาจให้พลาสมาหรือสารแทนพลาสมา (เช่น แอลบูมินหรือเดกซ์แทรน) ให้เลือดถ้ามีเลือดออก และรักษาภาวะแทรกซ้อนที่ตรวจพบ
ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้เป็นปกติภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยมากที่อาจเสียชีวิต (เฉลี่ยในผู้ป่วย 1,000 คน มีการเสียชีวิตประมาณ 1 คน) จากภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น เลือดออกรุนแรง มีภาวะช็อก อวัยวะล้มเหลว (เช่น ตับวาย ไตวาย หัวใจวาย การหายใจล้มเหลว) มีการติดเชื้อแทรกซ้อน เป็นต้น ผู้ที่เสียชีวิตมักมีปัจจัยเสี่ยง เช่น มีโรคประจำตัว (เช่น โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเลือด โรคพิษสุราเรื้อรัง เป็นต้น) อายุต่ำกว่า 1 ปี กินยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เข้ารับการรักษาช้า หรือปล่อยให้มีอาการรุนแรงค่อยมาพบแพทย์
หากสงสัย เช่น มีไข้สูงหรือมีไข้ตลอดเวลาร่วมกับอาการเบื่ออาหาร นอนซม หรือมีไข้ในช่วงที่มีคนในละแวกใกล้เคียงเป็นไข้เลือดออก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
เมื่อตรวจพบว่าเป็นไข้เลือดออก ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- กินยาลดไข้-พาราเซตามอลตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร แม้ว่ากินยาแล้วไข้ไม่ยอมลดก็ห้ามกินถี่กว่าที่แนะนำ เพราะการใช้ยานี้มากเกินอาจมีพิษต่อตับได้
- หลีกเลี่ยงการซื้อยาใช้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาลดไข้-แอสไพริน และยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน) เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย
- ให้อาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก นม น้ำหวาน (ควรหลีกเลี่ยงน้ำที่มีสีแดง เพราะหากอาเจียนอาจทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นการอาเจียนออกเป็นเลือดหรือเป็นน้ำที่ดื่ม)
- ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลม (ควรเขย่าฟองออกก่อน และหลีกเลี่ยงน้ำที่ออกสีเข้ม) หรือสารละลายน้ำตาลเกลือแร่
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ หรือมีอาการหนาวสั่นมาก
- ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก กระสับกระส่าย หรือซึมมาก
- หายใจหอบ
- ปวดท้องตรงยอดอกหรือลิ้นปี่
- ซีด ตาเหลืองตัวเหลือง เบื่ออาหารมาก หรือดื่มน้ำได้น้อย
- มือเท้าเย็นชืด มีเหงื่อออกและท่าทางไม่สบายมาก
- มีจุดแดงจ้ำเลือดขึ้นตามตัว
- มีเลือดออก เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
1. ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุงลาย เช่น
- ปิดฝาโอ่งน้ำหรือภาชนะใส่น้ำให้มิดชิด ป้องกันไม่ให้ยุงเล็ดลอดเข้าไปวางไข่ได้ ด้วยฝาอะลูมิเนียม ผ้า ตาข่ายไนล่อน หรือวัสดุอื่น
- เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 7 วัน สำหรับแจกันพลูด่างต้องใช้น้ำชะล้างไข่หรือลูกน้ำที่เกาะติดตามรากพลูด่างและข้างในแจกัน
- เปลี่ยนน้ำในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำเดือดลงไปในจานรองตู้กับข้าวทุก 7 วัน หรือใส่น้ำส้มสายชู ผงซักฟอก หรือเกลือแกงในน้ำที่อยู่ในจานรองตู้ (ใช้เกลือขนาด 2 ช้อนชา/น้ำ 1 แก้ว)
- จานรองกระถางต้นไม้ ควรใส่ทรายธรรมดาให้ลึก 3 ใน 4 ส่วนของจานขนาดใหญ่ หรือเทน้ำที่ขังอยู่ในจานขนาดเล็กทิ้งทุก 7 วัน
- ควรเก็บกระป๋อง ฝาขวด (ฝาเบียร์) กะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หรือสิ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำ ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้าน โรงเรียน และแหล่งชุมชน ทำลายหรือฝังดินให้หมด
- ยางรถยนต์เก่าถ้าไม่โยนทิ้งควรหาทางปกคลุม หรือเจาะรูระบายไม่ให้น้ำขัง หรือนำมาทำเป็นที่ปลูกต้นไม้หรือพืชผักสวนครัว เครื่องใช้ (เช่น ที่ทิ้งขยะ เก้าอี้) แต่จะต้องดัดแปลงยางรถยนต์ให้ขังน้ำไม่ได้
- ปรับพื้นบ้านและสนามอย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อที่มีน้ำขังได้
- กำจัดลูกน้ำยุงลายด้วยการใส่ทรายอะเบต (abate)* ลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำทุกชนิด
- เลี้ยงปลาหางนกยูงไว้กินลูกน้ำในภาชนะที่ใส่น้ำสำหรับใช้ (ไม่ใช่น้ำสำหรับบริโภค) ในอ่างบัว หรืออ่างปลูกต้นไม้น้ำ โดยใส่ปลาหางนกยูง 2-10 ตัวต่อภาชนะ ควรใส่เฉพาะปลาตัวผู้เพื่อคุมปริมาณปลาหางนกยูง
2. หาวิธีป้องกันอย่าให้ยุงลายกัด ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน เช่น ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวเวลาออกนอกบ้าน, อยู่ในห้องที่มีมุ้งลวด หรือให้เด็กเล็กนอนกางมุ้ง, ใช้ยาทากันยุงทาตามตัวเวลาอยู่ในที่ที่มียุง เป็นต้น
3. ปัจจุบันมีวัคซีนที่ใช้ฉีดป้องกันโรคไข้เลือดออก มีการรายงานว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนจนครบจำนวน 3 เข็ม (ซึ่งแต่ละเข็มห่างกัน 6 เดือน) สามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้เป็นระยะเวลา 5-6 ปี โดยมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคนี้จากเชื้อเด็งกีทั้ง 4 สายพันธุ์ได้ราวร้อยละ 65 และลดความรุนแรงของโรคได้ราวร้อยละ 93 ทั้งนี้ แพทย์จะฉีดให้เฉพาะผู้ที่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อน
สำหรับผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อเด็งกีมาก่อนแพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีด เนื่องจากเมื่อฉีดไปแล้ว หากมีการติดเชื้อเด็งกี มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นไข้เลือดออกที่รุนแรง และการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล
เนื่องจากวัคซีนไข้เลือดออกยังมีราคาแพง และมีข้อระมัดระวังในการใช้ ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาตัดสินใจในการฉีดวัคซีนชนิดนี้
1. ไข้เลือดออกมักแยกออกจากไข้หวัดได้ โดยที่ไข้เลือดออกมักไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล อาจมีไข้สูงหน้าแดง ตาแดง หรือมีผื่นขึ้นคล้ายหัด แต่แยกออกจากหัดได้ โดยหัดจะมีน้ำมูกและไอมากและตรวจพบจุดค๊อปลิก
นอกจากนี้อาการไข้สูงโดยไม่มีน้ำมูก ยังอาจทำให้ดูคล้ายไข้ผื่นกุหลาบในทารก ไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ มาลาเรีย ตับอักเสบจากไวรัสระยะแรก เล็ปโตสไปโรซิส เป็นต้น (ตรวจอาการไข้)
ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี อาจมาด้วยอาการไข้สูงร่วมกับชักก็ได้
ดังนั้นในช่วงฤดูฝนหรือในช่วงที่มีการระบาดของไข้เลือดออก ถ้าพบผู้ที่มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไม่ว่าเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ ควรทำการทดสอบทูร์นิเคต์ หรือตรวจพิเศษเพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ไข้เลือดออกทุกราย
2. ไข้เลือดออกเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ
ประมาณร้อยละ 70-80 ของผู้ที่เป็นไข้เลือดออก จะมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เองภายในประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการ และให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะช็อกก็เพียงพอ ไม่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ไม่ต้องฉีดยาให้น้ำเกลือ หรือให้ยาพิเศษแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์
ประมาณร้อยละ 20-30 ที่อาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออก ซึ่งก็มีทางรักษาให้หายได้ด้วยการให้น้ำเกลือหรือให้เลือด มีเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้นอาจรุนแรงมากจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว อาจมีอัตราตายสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ
3. ระยะวิกฤติของโรคนี้คือวันที่ 3-7 ของไข้ ซึ่งผู้ป่วยอาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออกได้ ดังนั้นจึงควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ถ้าพ้นระยะนี้ไปได้ก็ถือว่าปลอดภัย
4. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออกในระยะแรก ถ้ามีอาการปวดท้อง อาเจียนมาก หรือเบื่ออาหาร (ดื่มน้ำได้น้อย) อาจมีภาวะช็อกตามมาได้ ดังนั้นถ้าพบอาการเหล่านี้ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ควรพยายามให้ดื่มน้ำให้มาก ๆ ถ้าดื่มไม่ได้ควรแนะนำไปโรงพยาบาล อาจต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ และเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
5. เนื่องจากเชื้อไข้เลือดออกมีอยู่หลายชนิด ดังนั้นคนเราจึงอาจติดเชื้อไข้เลือดออกได้หลายครั้ง แต่ส่วนมากจะมีอาการคล้ายไข้หวัด แล้วหายได้เอง ส่วนน้อยที่อาจเป็นรุนแรงถึงช็อก และแต่ละคนจะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรงเพียงครั้งเดียว (หรืออย่างมากไม่ควรเกิน 2 ครั้งในชั่วชีวิต) ที่จะเป็นรุนแรงซ้ำ ๆ กันหลายครั้งนั้นนับว่ามีน้อยมาก
6. ผู้ที่เป็นไข้เลือดออก สามารถให้พาราเซตามอลเพื่อลดไข้ได้ แต่ควรแยกแยะอาการตัวเย็นจากยาลดไข้ให้ออกจากภาวะช็อก กล่าวคือ ถ้าตัวเย็นเนื่องจากยาลดไข้ ผู้ป่วยจะดูสบายดีและหน้าตาแจ่มใส แต่ถ้าตัวเย็นจากภาวะช็อก ผู้ป่วยจะซึมหรือกระสับกระส่าย
อย่างไรก็ตาม ควรย้ำให้ผู้ป่วยและญาติทราบว่าการใช้ยาลดไข้อาจไม่ทำให้ไข้ลด ถ้าไข้ไม่ลดก็ให้เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น อย่าให้พาราเซตามอลเกินขนาดที่กำหนด ถ้าให้มากไปหรือถี่เกินไป อาจมีพิษต่อตับถึงขั้นอันตรายได้ และอย่าหันไปใช้ยาลดไข้ชนิดอื่น เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยี่ห้ออื่น ๆ ที่ไม่ใช่ประกอบด้วยยาพาราเซตามอลล้วน ๆ (โดยอ่านดูฉลากยาให้แน่ใจ) เพราะยาแก้ไข้อื่น ๆ อาจมีอันตรายต่อผู้ป่วยไข้เลือดออกได้
7. ในรายที่จำเป็นต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ควรให้ด้วยความระมัดระวัง อย่าให้น้อยไปหรือมากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะวิกฤติประมาณ 24-48 ชั่วโมง จำเป็นต้องตรวจวัดระดับฮีมาโทคริต อย่างใกล้ชิด และปรับปริมาณและความเร็วของน้ำเกลือที่ให้ตามความรุนแรงของผู้ป่วย ต้องระวังการให้น้ำเกลือมากหรือเร็วเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ เป็นอันตรายได้