ส่วนสาเหตุที่ทำให้เนื้อเยื่อผิวหนังส่วนที่เป็นแผลงอกผิดปกตินั้นยังไม่ทราบแน่ชัด
พบว่าผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นคีลอยด์ มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูงกว่าปกติ จึงเชื่อว่าโรคนี้อาจเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์
มักพบเพียงหนึ่งก้อน แต่ก็อาจพบหลายก้อนได้ สามารถพบได้ทุกแห่งของร่างกาย แต่จะพบมากบริเวณหน้าอก หลัง ไหล่ แขนและขา
หากสงสัยว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ แพทย์จะทำการตัดเนื้อเยื่อผิวหนังไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ
ถ้าขึ้นในบริเวณที่มิดชิดหรือไม่มีลักษณะที่น่าเกลียด ก็ไม่ต้องให้การรักษาแต่อย่างใด นอกจากถ้ามีอาการคันให้ทาด้วยครีมสเตียรอยด์ แต่ถ้าก้อนโตน่าเกลียด หรือทำให้ขาดความสวยงาม อาจต้องรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์ เช่น ไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ (triamcinolone acetonide) เข้าไปในแผลคีลอยด์ อาจช่วยให้แผลเป็นฝ่อเล็กลงได้บ้าง
ในรายที่มีขนาดใหญ่อาจต้องทำการผ่าตัด แล้วฉีดยาสเตียรอยด์เมื่อแผลเริ่มหายภายใน 1-2 สัปดาห์
นอกจากนี้อาจรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น รังสีบำบัด (ฉายรังสี), การผ่าตัดด้วยความเย็นที่เรียกว่า ไครโอเซอเจอรี (cryosurgery) การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ เป็นต้น
ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการปวดหรือคัน
- แผลโตขึ้น หรือรู้สึกไม่สวยงาม
- มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง
2. คีลอยด์จะเกิดขึ้นเฉพาะกับคนบางคนเท่านั้น ซึ่งผิวหนังจะมีธรรมชาติแตกต่างไปจากคนปกติ เมื่อมีบาดแผลก็จะทำให้เกิดเป็นแผลปูด ทั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการกินของแสลง (เช่น เนื้อ ไข่) ดังที่ชาวบ้านเข้าใจกันแต่อย่างใด
3. ห้ามรักษาคีลอยด์ด้วยการผ่าตัดเพียงอย่างเดียวเป็นอันขาด (โดยไม่ฉีดยาสเตียรอยด์ตามใน 1-2 สัปดาห์ต่อมา) เพราะแผลเป็นที่เกิดขึ้น จะกลายเป็นคีลอยด์ที่ใหญ่ขึ้นไปกว่าเดิมได้อีก