โรคนี้ยังไม่พบสาเหตุแน่ชัด สันนิษฐานว่าผื่นที่ผิวหนังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส (กลุ่ม herpes virus) ซึ่งไม่มีการติดต่อสู่ผู้อื่น
ผู้ป่วยจะมีผื่นขึ้นตามตัว โดยที่ไม่มีอาการไข้ และสุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี
แรกเริ่มจะมีผื่นแดงรูปร่างกลมรี ขอบชัด มีเกล็ดบาง ๆ ที่ขอบของผื่น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-6 ซม. จำนวน 1 ผื่นที่ผิวหนัง โดยมากมักจะขึ้นตรงหน้าอก บางรายอาจขึ้นที่หลัง ผื่นอันแรกนี้เรียกว่า ผื่นแจ้งโรค (herald patch)
หลังจากนั้นประมาณ 1-2 สัปดาห์ ก็จะมีผื่นลักษณะเดียวกัน ขนาดเล็กกว่า (เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.5-1.5 ซม.) ค่อยทยอยขึ้นตามมา อาจมีอาการคันเล็กน้อย ผื่นเหล่านี้จะขึ้นที่หน้าอก หน้าท้อง และอาจขึ้นที่หลัง ต้นแขน ต้นขา
ในเด็กอาจมีผื่นขึ้นที่ใบหน้า มือ เท้า
ผื่นมักจะหายไปได้เองภายใน 2-6 สัปดาห์ (บางรายอาจหายใน 3-4 เดือน)
โรคนี้มักหายได้เอง โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง นอกจากอาการคันมาก
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้
ถ้าพบผู้ป่วยในระยะแรก อาจตรวจพบผื่นแจ้งโรค 1 อัน (บางรายอาจมีมากกว่า 1 อัน) อาจทำให้นึกว่าเป็นโรคกลาก ต่างกันที่ผื่นพีอาร์จะไม่คันมากและไม่ลุกลาม
ถ้าพบผู้ป่วยระยะที่มีผื่นขึ้นทั้งตัว จะพบผื่นแดง รูปร่างกลมรีจำนวนมาก โดยแกนตามยาว (ของวงรี) จะเรียงขนานกับร่องผิวหนัง (cleavage line) ทำให้ด้านหน้า (หน้าอก หน้าท้อง) ดูลักษณะเป็นรูปตัว T และด้านหลังดูลักษณะคล้ายต้นคริสต์มาส หากพบผื่นในลักษณะนี้ ควรตรวจหาผื่นแจ้งโรคที่มีขนาดใหญ่กว่าผื่นอันอื่น ๆ บางรายอาจพบมากกว่า 1 อัน บางรายอาจไม่พบ "ผื่นแจ้งโรค" ก็ได้
ถ้าสงสัยว่าอาจเป็นโรคเชื้อรา แพทย์จะขูดเอารอยโรคไปตรวจหาเชื้อรา
ผื่นพีอาร์
ผื่นแจ้งโรค
โรคนี้หายเองได้ และไม่มีวิธีการรักษาเฉพาะ แพทย์เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการ แล้วรอเวลาให้หายเอง ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจระคายเคืองต่อผิวหนัง ควรใช้สบู่อ่อน (เช่น สบู่เหลว สบู่เด็ก) ในการล้างทำความสะอาดร่างกาย
2. ถ้าคันให้ทาคาลาไมน์ หรือครีมสเตียรอยด์ (ครีมสเตียรอยด์ นอกจากช่วยลดอาการคันแล้ว ยังอาจช่วยให้หายเร็วขึ้น) ถ้าคันมาก หรือทำให้นอนไม่หลับให้กินยาแก้แพ้
3. ถ้าผื่นไม่ทุเลาใน 6 สัปดาห์ หรือสงสัยเป็นโรคอื่น เช่น ซิฟิลิส ผื่นแพ้ยา เป็นต้น ควรส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด ในรายที่สงสัยเป็นซิฟิลิส อาจต้องเจาะเลือดหาวีดีอาร์แอล (VDRL)
ในรายที่เป็นผื่นพีอาร์ที่เป็นมากและเรื้อรัง แพทย์อาจให้การรักษาโดยวิธีฉายแสงอัลตราไวโอเลตบี (UVB) ทุกวัน จะช่วยให้ผื่นหายเร็วขึ้น
หากสงสัย เช่น มีผื่นขึ้นตามตัว ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นผื่นพีอาร์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา ใช้ยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- ควรให้ผิวหนังได้ถูกแดด (อาบแดด) อ่อนๆ นานวันละ 10-15 นาที (ผู้ที่แพ้แดดควรหลีกเลี่ยงการถูกแดด) มีส่วนช่วยให้โรคทุเลาเร็วขึ้น
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการคันมาก หรือดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 1-2 สัปดาห์
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
1. โรคนี้ไม่ใช่โรคติดต่อ จึงไม่จำเป็นต้องแยกผู้ป่วยหรือห้ามใกล้ชิดกับผู้อื่น
2. ในรายที่เป็นไม่มาก เช่น มีอาการคันเล็กน้อย อาจไม่จำเป็นต้องให้ยารักษาแต่อย่างใด และรอให้หายเองได้ภายใน 2-6 สัปดาห์
3. ควรแยกอาการผื่นพีอาร์ออกจากโรคอื่น ๆ เช่น ผื่นแจ้งโรค ต้องแยกออกจากโรคกลาก ส่วนผื่นแดงทั่วตัวต้องแยกจากโรคซิฟิลิส ระยะออกดอก ผื่นแพ้ยา ไข้ออกผื่น (มักมีไข้เป็นสำคัญ) เช่น หัด หัดเยอรมัน เป็นต้น