เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเริม หรือเฮอร์ปีส์ซิมเพล็กซ์ (herpes simplex virus/HSV) ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด ได้แก่ ไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) กับไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) เชื้อเริมทั้ง 2 ชนิดนี้สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อได้ทั้งบริเวณผิวหนังทั่วไป ช่องปาก อวัยวะเพศ และเยื่อเมือกต่าง ๆ ติดต่อโดยการสัมผัสโดยตรง ผ่านทางรอยถลอกของผิวหนัง หรือทางเยื่อเมือก (เช่น เยื่อบุตา ช่องปาก องคชาต ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก) ดังนั้น ผู้ที่คลุกคลีใกล้ชิดกัน เช่น เด็กในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือโรงเรียน สามีภรรยา สมาชิกในครอบครัว มีโอกาสติดเชื้อเริมได้ง่าย
สำหรับโรคเริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง
ระยะฟักตัว สำหรับการติดเชื้อครั้งแรกประมาณ 2-20 วัน
เมื่อหายจากโรค เชื้อเริมจะเข้าไปหลบซ่อนที่ปมประสาทในบริเวณใต้ผิวหนังหรือเยื่อบุ และแฝงตัวอยู่อย่างสงบ แต่เมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น เป็นไข้ ถูกแดดจัด ร่างกายอิดโรย อารมณ์เครียด วิตกกังวล การมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ การได้รับบาดเจ็บหรือผ่าตัดบริเวณใบหน้า การทำฟัน ภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น เชื้อเริมที่แฝงตัวอยู่นั้นจะเกิดการแบ่งตัวเจริญเติบโตเกิดการปลุกฤทธิ์คืน (reactivation) ทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ ซึ่งสามารถเป็นได้บ่อย ๆ สำหรับเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 มักจะทำให้เกิดอาการกำเริบที่ปากมากกว่าอวัยวะเพศ ส่วนเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 เกิดอาการกำเริบที่บริเวณอวัยวะเพศมากกว่าปาก
ขึ้นกับตำแหน่งที่ติดเชื้อ อายุ ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย และชนิดของเชื้อ ถ้าเป็นการติดเชื้อครั้งแรก (ในผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนี้มาก่อน) มักมีอาการทั่วไป (เช่น ไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย) ร่วมด้วย มีรอยโรค ระยะเวลาของอาการแสดง และภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่าการติดเชื้อซ้ำ
ในที่นี้จะขอกล่าวถึงอาการของโรคเริมที่พบได้บ่อย ดังนี้
1. เริมที่ผิวหนัง ส่วนใหญ่จะพบการติดเชื้อซ้ำ (reactivation) บริเวณรอยโรคมักมีอาการปวดแสบปวดร้อน หรือปวดเสียวนำมาก่อน 1/2-48 ชั่วโมง (ถ้าเป็นที่บริเวณขา สะโพก หรือก้น อาจมีอาการปวดแปลบนำมาก่อนประมาณ 1-5 วัน) แล้วมีตุ่มน้ำใส ขนาด 2-3 มม.ขึ้นอยู่กันเป็นกลุ่ม โดยรอบจะเป็นผื่นแดง ต่อมาตุ่มน้ำใสนี้จะกลายเป็นสีเหลืองขุ่นแล้วแตกกลายเป็นสะเก็ดหายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ (เร็วสุด 3 วัน)
ด้วยลักษณะของตุ่มน้ำใสที่อยู่กันเป็นกลุ่มแบบนี้ ชาวบ้านบางแห่งจึงเรียกโรคนี้ว่า ขยุ้มตีนหมา
ตำแหน่งที่พบบ่อย ได้แก่ ริมฝีปาก แก้ม จมูก หู ตา ก้น อวัยวะเพศ ผื่นมักจะขึ้นที่ตำแหน่งที่เคยขึ้นอยู่เดิม หรือในบริเวณใกล้เคียง
ในกรณีที่เป็นการติดเชื้อครั้งแรก มักมีอาการอักเสบที่รุนแรงกว่า บริเวณรอยโรคจะมีลักษณะบวมและเจ็บ ระยะแรกจะขึ้นเป็นตุ่มน้ำใส ต่อมาจะดูคล้ายเป็นตุ่มหนองหรือฝี (ภายในเป็นน้ำและเซลล์ผิวหนังที่ตาย) เรียกว่า ตะมอยเริม (herpetic whitlow) ซึ่งจะเป็นอยู่นาน 7-10 วัน ส่วนน้อยอาจมีอาการไข้ และต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงอักเสบร่วมด้วย
พบบ่อยที่นิ้วชี้ รองลงมาคือนิ้วหัวแม่มือ บางรายอาจพบที่บริเวณฝ่ามือ
ในทารกและเด็กเล็กมักเกิดจากการดูดนิ้วในขณะที่มีการติดเชื้อเริมในปาก หรือเกิดจากการจับมือของผู้ใหญ่ที่เป็นเริมในปาก
ในผู้ใหญ่อาจเกิดจากการสัมผัสระหว่างมีเพศสัมพันธ์ หรือการต่อสู้ (เช่น นักมวยปล้ำ ซึ่งอาจมีรอยโรคที่หน้า คอ ลำตัว แขนขา) และบุคลากรทางการแพทย์ อาจติดจากการสัมผัสสิ่งคัดหลั่งจากผู้ป่วยเริม
2. เริมในช่องปาก (herpertic gingivostomatitis) เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของการติดเชื้อเริมชนิดที่ 1 เป็นครั้งแรก พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ มีระยะฟักตัวของโรค 2-3 วัน (อาจนานถึง 20 วัน)
ในกรณีติดเชื้อครั้งแรก ผู้ป่วยจะเป็นเริมในช่องปากชนิดเฉียบพลัน ซึ่งมีอาการดังนี้
เด็กเล็ก จะมีไข้ ร้องกวน ไม่ดูดนม ไม่กินอาหาร มีตุ่มน้ำพุขึ้นที่เยื่อบุของริมฝีปาก เหงือก ลิ้น และเพดานปาก แล้วแตกเป็นแผลตื้นสีเทาบนพื้นสีแดง ขนาด 1-3 มม. มักมีอาการเหงือกบวมแดง ซึ่งบางครั้งอาจมีเลือดซึมและมีกลิ่นปาก เด็กอาจมีภาวะขาดน้ำเนื่องจากดื่มนมและน้ำได้น้อย มักตรวจพบต่อมน้ำเหลืองใต้คางโตและเจ็บ อาการต่าง ๆ จะเป็นมากในช่วงประมาณ 4-5 วันแรก และแผลมักหายได้เองภายใน 10-14 วัน
เด็กโตและผู้ใหญ่ ระยะแรกจะมีอาการเจ็บคอ ซึ่งตรวจพบหนองที่ผนังคอหอย หรือแผลบนทอนซิล ต่อมาจะพบแผลที่ลิ้น กระพุ้งแก้ม และเหงือก อาจมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัวร่วมด้วย อาการต่าง ๆ มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน
ผู้ป่วยที่เป็นเริมในช่องปากเมื่อหายแล้วเชื้อมักหลบซ่อนอยู่ที่ปมประสาทของสมองคู่ที่ 5 (trigeminal ganglion) ต่อมาเชื้ออาจแบ่งตัวเจริญเติบโตทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำ ส่วนใหญ่จะเกิดเป็นแผลเริมที่ริมฝีปาก เรียกว่า เริมที่ริมฝีปาก (herpes labialis บางครั้งเรียกว่า fever blisters หรือ cold sores) มักมีตุ่มน้ำเล็ก ๆ พุขึ้นเป็นกลุ่มที่บริเวณริมฝีปาก แล้วแตกกลายเป็นแผลตกสะเก็ดอยู่ 2-4 วัน ก่อนมีตุ่มขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงถึงหลายวัน อาจมีอาการปวดแสบหรือคันบริเวณรอยโรค
บางรายอาจเกิดแผลเปื่อยในช่องปาก เรียกว่า เริมในช่องปากชนิดเป็นซ้ำ (recurrent intraoral herpes simplex) มักมีแผลเดียวเกิดขึ้นที่เหงือก หรือเพดานแข็ง โดยแรกเริ่มขึ้นเป็นตุ่มน้ำเล็ก ๆ แล้วแตกเป็นแผลลักษณะเป็นสะเก็ดสีเหลืองปกคลุมอยู่บนพื้นสีแดง เมื่อลอกออกจะกลายเป็นแผลตื้นพื้นสีแดง
บางรายอาจมีแผลเริมขึ้นที่ใบหน้าหรือจมูก
แผลเริมเหล่านี้มักหายได้เองภายใน 5-10 วัน แต่ต่อมาอาจกำเริบซ้ำได้อีก อาการมักกำเริบเวลามีประจำเดือน ถูกแดด เครียด ได้รับการกระทบกระเทือนเฉพาะที่ (เช่น ถอนฟัน ผ่าตัดที่บริเวณใบหน้า) เวลาเป็นไข้หวัด หรือเป็นไข้ (เช่น ทอนซิลอักเสบ ปอดอักเสบ มาลาเรีย ไข้กาฬหลังแอ่น สครับไทฟัส เป็นต้น)
เริมที่ริมฝีปากบน
3. เริมที่อวัยวะเพศ (herpes genitalis) ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 ส่วนน้อยเกิดจากเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1
ถ้าเป็นการติดเชื้อครั้งแรกจะมีระยะฟักตัว 2-10 วัน ผู้ป่วยมักมีไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย และเกิดผื่นตุ่มขึ้นที่บริเวณอวัยวะเพศ โดยมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ นำมาก่อน (ในผู้ชายอาจขึ้นที่หนังหุ้มปลายองคชาต ที่ตัวหรือที่ปลายองคชาต ถุงอัณฑะ ต้นขา ก้น รอบทวารหนัก หรือในท่อปัสสาวะ ส่วนผู้หญิงอาจขึ้นที่ปากช่องคลอด ก้น รอบทวารหนัก ในช่องคลอด หรือที่ปากมดลูก) ลักษณะเป็นตุ่มนูน ตุ่มน้ำ หรือแผลแดง ๆ คล้ายรอยถลอก อาจมีอาการเจ็บหรือคัน ต่อมาจะแห้ง อาจมีสะเก็ดหรือไม่มีก็ได้ แล้วหายไปได้เอง โดยอาจเป็นอยู่นาน 2-3 สัปดาห์
ผู้ป่วยอาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด หนองไหลจากช่องคลอดและท่อปัสสาวะ ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตและเจ็บร่วมด้วย
นอกจากนี้ยังอาจพบรอยโรคที่ก้น ขาหนีบ หน้าขา นิ้วมือ หรือตา ซึ่งมักเกิดในสัปดาห์ที่ 2
หลังจากอาการหายแล้ว เชื้ออาจหลบซ่อนอยู่ที่ปมประสาท แล้วต่อมาจะมีการติดเชื้อซ้ำเป็น ๆ หาย ๆ อยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 6 เดือนแรกหลังติดเชื้อครั้งแรก อาจเกิดขึ้นบ่อยและค่อย ๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป อาการมักกำเริบเวลาร่างกายทรุดโทรม เครียด มีประจำเดือน หรือมีการเสียดสี (เช่น มีเพศสัมพันธ์)
ในการติดเชื้อซ้ำ ผู้ป่วยจะมีอาการแสบ ๆ คัน ๆ บริเวณที่เป็นรอยโรค (รวมทั้งต้นขาด้านในหรือก้น) นำมาก่อน ต่อมาจะพุขึ้นเป็นตุ่มน้ำใสเล็ก ๆ หลายตุ่มอยู่กันเป็นกลุ่มที่อวัยวะเพศ มักขึ้นตรงตำแหน่งเดิมที่เคยเป็น อาจมีอาการปัสสาวะแสบขัด ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตและเจ็บ ตุ่มมักจะตกสะเก็ดภายใน 4-5 วัน แล้วหายไปได้เองภายใน 10 วัน บางรายอาจมีไข้และอ่อนเพลียร่วมด้วย
บางรายอาจมีการติดเชื้อซ้ำโดยไม่มีอาการ แต่จะปล่อยเชื้อออกมาแพร่ให้ผู้อื่นได้
ส่วนใหญ่มักหายได้เอง แล้วอาจกำเริบเป็นครั้งคราว ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ตุ่มหรือแผลกลายเป็นหนองพุพองจากการอักเสบซ้ำของเชื้อแบคทีเรีย
ในเด็กที่เป็นเริมในช่องปากอาจมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากดื่มนมและน้ำไม่ได้
ถ้าเริมขึ้นที่บริเวณตาอาจทำให้กระจกตาอักเสบ (keratitis) ถึงกับทำให้สายตาพิการได้
เชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 อาจเข้าไปที่ประสาทใบหน้า (facial nerve) ทำให้เส้นประสาทอักเสบ กลายเป็นอัมพาตใบหน้าครึ่งซีกหรืออัมพาตเบลล์ได้
ผู้หญิงที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก
นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ซึ่งมักพบในทารกแรกเกิด หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยหลังได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะหรือเคมีบำบัด ขาดอาหาร มีบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ผู้ป่วยเอดส์ หรือกินยาสเตียรอยด์นาน ๆ) เด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ เป็นต้น
ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่อาจพบได้ เช่น
- ในเด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ เมื่อติดเชื้อเริมอาจมีผื่นตุ่มขึ้นแบบกระจายทั่วไป ซึ่งอาจรุนแรงถึงเสียชีวิตได้ เรียกว่า "Eczema herpeticum"
- การติดเชื้อเริมชนิดแพร่กระจาย (disseminated infection) ซึ่งพบในทารกแรกเกิด ผู้ที่มีบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ผู้ที่ใช้สเตียรอยด์นาน ๆ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้มีผื่นตุ่มกระจายทั่วไป ตุ่มพองใหญ่และมีเลือดออกอยู่ภายในตุ่ม และเชื้อแพร่กระจายไปสู่อวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง ปอด ระบบทางเดินอาหาร ตับ ม้าม ไต ต่อมหมวกไต ไขกระดูก เป็นต้น เกิดอาการรุนแรงถึงเสียชีวิตได้ บางรายอาจมีเนื้อเยื่อคอรอยด์และจอตาอักเสบ (chorioretinitis) ทำให้ตาบอดได้
- สมองอักเสบ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 พบมากในทารกแรกเกิด ผู้ป่วยอายุ 5-30 ปี และอายุเกิน 50 ปี มีอัตราตายสูง
- เยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดอะเซปติก (aseptic meningitis) ซึ่งพบเป็นภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 ครั้งแรกที่อวัยวะเพศ อาการมักทุเลาภายในไม่กี่วัน และหายได้เองโดยไม่มีความพิการหลงเหลือ
- หลอดอาหารอักเสบ ซึ่งพบในผู้ป่วยเอดส์ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บขณะกลืน กลืนลำบาก น้ำหนักลด
- ตับอักเสบ ซึ่งมักจะไม่รุนแรงในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรง แต่ถ้าพบในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือหญิงตั้งครรภ์ ก็อาจกลายเป็นตับอักเสบชนิดเร็วร้าย (fulminant hepatitis) ได้
- การติดเชื้อเริมในผู้หญิงตั้งครรภ์ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ทารกเป็นโรคเริมแต่กำเนิด ซึ่งเกิดจากเชื้อเริมได้ทั้ง 2 ชนิด ทำให้ทารกน้ำหนักน้อย ศีรษะเล็ก ชัก ปอดอักเสบ ตับโต ตาเล็ก ต้อกระจก เนื้อเยื่อคอรอยด์และจอตาอักเสบ มีผื่นตุ่มตามผิวหนังหรือนิ้วมือ
ถ้ามารดาติดเชื้อเริมในไตรมาสสุดท้าย อาจทำให้ทารกในครรภ์เจริญเติบโตช้า หรือคลอดก่อนกำหนด
ถ้ามารดาเป็นโรคเริมที่ช่องคลอดหรือปากมดลูกในระยะใกล้คลอด อาจทำให้ทารกติดเชื้อขณะคลอด กลายเป็นโรคเริมชนิดรุนแรง เช่น โรคเริมชนิดแพร่กระจาย สมองอักเสบ กระจกตาอักเสบ จอตาอักเสบ เป็นต้น
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้
ตรวจพบตุ่มน้ำใส ขนาด 2-3 มม.หลายตุ่ม อยู่กันเป็นกลุ่ม หรือพบตุ่มตกสะเก็ดหรือแผลเล็ก ๆ คล้ายรอยถลอกในบริเวณผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่ง ริมฝีปากหรืออวัยวะเพศ อาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงโตและเจ็บ บางรายอาจมีไข้ร่วมด้วย
อาจตรวจพบแผลที่ขึ้นพร้อมกันหลายแห่งในช่องปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กที่เป็นเริมในช่องปาก
ในบางรายแพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจหาเชื้อด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น การขูดแผลนำเนื้อเยื่อไปย้อมสี การตรวจหาสารก่อภูมิต้านทาน (แอนติเจน) หรือดีเอ็นเอ ของเชื้อเริมจากแผลหรือสิ่งคัดหลั่ง การทดสอบทางน้ำเหลืองเพื่อหาระดับสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) เป็นต้น
1. แพทย์จะให้การรักษาตามอาการ (เช่น ยาแก้ปวดลดไข้-พาราเซตามอล ให้สารน้ำในรายที่มีภาวะขาดน้ำ) ร่วมกับให้ยาต้านไวรัส (เช่น อะไซโคลเวียร์) ซึ่งจะช่วยลดความรุนแรงของโรค ช่วยให้หายเร็วขึ้น และลดโอกาสการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น แต่มักไม่มีผลในการป้องกันการกำเริบซ้ำ
2. ในรายที่สงสัยมีภาวะแทรกซ้อน (เช่น สมองอักเสบ เยื่อสมองอักเสบ ตับอักเสบ) มีการติดเชื้อในทารกแรกเกิด หรือเป็นโรคเริมชนิดแพร่กระจาย แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล และให้อะไซโคลเวียร์ (acyclovir) ฉีดเข้าหลอดเลือดดำนาน 10-14 วัน
3. ในรายที่มีเริมขึ้นที่บริเวณตาจะปรึกษาจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าพบว่ามีกระจกตาอักเสบจากเชื้อเริม (herpetic keratitis) ก็จะให้ยาต้านไวรัสชนิดหยอดตาหรือป้ายตา เช่น ยาหยอดตาไตรฟลูริดีน (trifluridine) หรือขี้ผึ้งป้ายตาไวดาราบีน (vidarabine) นาน 21 วัน ในรายที่เป็นรุนแรงอาจต้องให้กินอะไซโคลเวียร์ นาน 10 วัน
4. สำหรับผู้ที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศซ้ำบ่อย ๆ (มากกว่าปีละ 6 ครั้ง) ให้อะไซโคลเวียร์กินทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 1 ปี จะลดอัตราการเป็นซ้ำ และลดการแพร่เชื้อของผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการ
5. ผู้ป่วยโรคเริมที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดอื่น เช่น ฟามซิโคลเวียร์ (famciclovir) กินครั้งละ 250 มก. หรือวาลาไซโคลเวียร์ (valaciclovir) กินนาน 7-10 วัน
6. ผู้หญิงตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อเริมครั้งแรกที่ช่องคลอดหรือปากมดลูกในระยะใกล้คลอด แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ทารกติดเชื้อขณะคลอดผ่านทางช่องคลอด
หากสงสัย เช่น มีตุ่มน้ำใสขนาด 2-3 มม. ขึ้นอยู่กันเป็นที่จุดใดจุดหนึ่ง เช่น ริมฝีปาก แก้ม จมูก หู ตา ก้น อวัยวะเพศ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นเริม ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีไข้ ปวดศีรษะมาก อาเจียน ตาเหลืองตัวเหลือง เบื่ออาหาร กินอาหารหรือดื่มน้ำได้น้อย หรือมีอาการซึมมาก
- หลังจากโรคหายแล้ว ในเวลาต่อมามีอาการกำเริบใหม่
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
เนื่องจากผู้ที่ติดเชื้อเริม (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการติดเชื้อซ้ำ) มักไม่มีอาการแสดง แต่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ โดยเชื้ออาจมีอยู่ในน้ำตา น้ำลาย คอหอย อวัยวะเพศ ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ การป้องกันการติดเชื้อเริมจึงเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะไม่มีทางแยกออกได้ว่าใครบ้างที่เป็นผู้ติดเชื้อ
อย่างไรก็ตาม เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรปฏิบัติดังนี้
- หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น จาน ชาม แก้วน้ำ มีดโกน ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า) ร่วมกับผู้อื่น
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยที่มีตุ่มตามผิวหนัง หรือเยื่อเมือก หรือผู้ที่มีแผลเปื่อยในช่องปาก
- หลีกเลี่ยงการเที่ยวหญิงบริการ และมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่ครอง ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้ใช้ถุงยางอนามัย และหลีกเลี่ยงการสัมผัสที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก (oral-genital contact)
1. การรักษาด้วยยาต้านไวรัสช่วยให้โรคหายเร็วขึ้นและลดการแพร่เชื้อ แต่ไม่มีผลในการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อซ้ำ โรคนี้มักจะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง อาจสร้างความวิตกกังวลแก่ผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเริมที่อวัยวะเพศ จึงควรให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วยว่า สำหรับผู้ที่แข็งแรงดีโรคนี้ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ทารกแรกเกิด เด็กที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ ผู้ที่บาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก อาจเกิดภาวะติดเชื้อเริมแบบร้ายแรงได้ ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคเริมจึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลเหล่านี้
2. ถ้าเป็นเริมที่อวัยวะเพศ ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลเริมจะหาย หรือไม่ก็ควรป้องกันการแพร่เชื้อโดยการใช้ถุงยางอนามัย และถ้าเป็นการติดเชื้อครั้งแรกควรตรวจกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่น (เช่น เอดส์ ซิฟิลิส) ที่อาจพบร่วมด้วย
3. ผู้ที่เป็นโรคเริมที่ปากมดลูก ควรตรวจกรองมะเร็งปากมดลูกระยะแรก (Pap smear) ปีละ 1 ครั้ง ถ้าพบว่าเป็นเริมที่อวัยวะเพศขณะตั้งครรภ์หรือใกล้คลอดควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมต่อไป
4. ผู้ที่เป็นโรคเริมกำเริบถี่มาก หรือเป็นรุนแรง หรือเป็นแผลเริมเรื้อรังเกิน 1 เดือน ควรตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี เพราะอาจพบว่าเป็นเอดส์ได้
5. ครีมพญายอ ซึ่งทำจากสมุนไพรเสลดพังพอนตัวเมีย (พญายอ) ได้ผ่านการศึกษาวิจัยแล้วพบว่า สามารถรักษาเริมที่อวัยวะเพศที่เป็นครั้งแรกได้ผลพอ ๆ กับครีมอะไซโคลเวียร์ (ซึ่งประสิทธิผลสู้อะไซโคลเวียร์ชนิดกินไม่ได้) และไม่สามารถป้องกันการกำเริบซ้ำ ส่วนเริมที่กำเริบซ้ำจะใช้ยาทาเหล่านี้ไม่ได้ผล