อาการมักเกิดในระยะแรก ๆ (ประมาณ 10-16 สัปดาห์) ของการตั้งครรภ์ บางครั้งอาจเกิดจากรกที่ค้างอยู่ในมดลูกหลังคลอดหรือแท้งบุตร
โรคนี้อาจพบได้ประปรายประมาณ 1 ราย ใน 1,000 รายของการตั้งครรภ์
อาจพบร่วมกับอาการแพ้ท้องรุนแรงหรือครรภ์เป็นพิษ
เกิดจากความผิดปกติของไข่ที่ถูกผสม ทำให้ไข่ที่ถูกผสมไม่มีการเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนของทารกและรกที่สมบูรณ์ และเนื้อเยื่อรกกลายเป็นเนื้องอก
ตามปกติ ไข่ที่ถูกผสมจะมีโครโมโซม 23 คู่ ซึ่งมาจากไข่ของผู้หญิงและอสุจิของผู้ชายอย่างละ 23 แท่งเท่ากัน แต่ในครรภ์ไข่ปลาอุก ไข่ที่ถูกผสมจะมีโครโมโซมผิดไปจากปกติ อาจมีจำนวนโครโมโซม 46 แท่ง ซึ่งมาจากอสุจิของชายทั้งหมด (โดยอสุจิ 1-2 ตัวผสมกับไข่ของหญิงที่ไม่มีโครโมโซม ทำให้ไม่เกิดตัวอ่อนของทารก มีแต่เนื้อเยื่อรกที่ผิดปกติล้วน ๆ เรียกว่า "ครรภ์ไข่ปลาอุกชนิดสมบูรณ์" หรือ "complete molar pregnancy" คือ เป็นครรภ์ไข่ปลาอุกล้วน) หรือ 69 แท่ง (เป็นโครโมโซมจากหญิง 23 แท่ง กับจากชาย 46 แท่ง จากการที่ไข่ผสมกับอสุจิ 2 ตัว ทำให้เกิดตัวอ่อนของทารกที่ผิดปกติ ซึ่งไม่สามารถอยู่รอดได้ และเนื้อเยื่อรกที่ผิดปกติ เรียกว่า "ครรภ์ไข่ปลาอุกชนิดไม่สมบูรณ์" หรือ "Incomplete molar pregnancy" คือ เป็นครรภ์ไข่ปลาอุกร่วมกับมีทารก)
มักพบในหญิงอายุมากกว่า 35 ปี หรืออายุน้อยกว่า 20 ปี
หญิงที่เคยตั้งครรภ์ไข่ปลาอุกหรือเคยแท้งบุตรมาก่อน มีความเสี่ยงต่อการเกิดครรภ์ไข่ปลาอุกมากกว่าปกติ
อาการมักเกิดหลังตั้งครรภ์ใหม่ ๆ พบว่าขนาดของมดลูกโตเร็วกว่าปกติ คลำได้ขนาดของมดลูกโตกว่าอายุครรภ์ที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ยังพบอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอดคล้ายกับแท้งบุตร
มักจะพบว่าทารกในท้องไม่ดิ้น และมีอาการแพ้ท้อง คือคลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง
บางครั้งอาจมีชิ้นเนื้อลักษณะคล้ายไข่ปลาอุกหลุดออกมาทางช่องคลอด ด้วยเหตุนี้จึงเรียกโรคนี้ว่า ครรภ์ไข่ปลาอุก
บางรายอาจมีเลือดออกนานเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือนจนทำให้มีอาการซีด อ่อนเพลีย
ผู้ป่วยอาจมีอาการแสดงของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (เช่น เหนื่อยง่าย ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว ร่วมด้วย เนื่องจากฮอร์โมนเอชซีจี (ที่รกสร้าง) มีปริมาณสูงจะมีฤทธิ์อ่อน ๆ ในการกระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ) หรือครรภ์เป็นพิษ (ปวดศีรษะ ตามัว เท้าบวม ตรวจพบความดันโลหิตสูง และสารไข่ขาวในปัสสาวะ)
ผู้ป่วยอาจมีภาวะครรภ์เป็นพิษ (ซึ่งจะพบก่อนอายุครรภ์ 5 เดือน) และภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินร่วมด้วย
ราวร้อยละ 5 ของผู้ป่วยไข่ปลาอุกชนิดไม่สมบูรณ์ และร้อยละ 15-20 ของผู้ป่วยไข่ปลาอุกชนิดสมบูรณ์ อาจมีอาการของโรคไข่ปลาอุกกำเริบต่อไปหลังการรักษาด้วยการขูดมดลูก (นำเนื้อเยื่อครรภ์ไข่ปลาอุกออกไป) เนื่องจากมีเนื้อเยื่อรกที่เป็นเนื้องอกผิดปกติติดค้างในมดลูกและเจริญต่อไปได้ (เรียกว่า "Persistent gestational trophoblastic neoplasia (GTN)") ซึ่งอาจลุกลามเข้าไปในผนังมดลูก ทำให้มีเลือดออกจากช่องคลอด
บางรายอาจกลายเป็นมะเร็งเยื่อรก (ซึ่งพบในครรภ์ไข่ปลาอุกชนิดสมบูรณ์มากกว่าชนิดไม่สมบูรณ์) ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจพบได้แต่น้อยมาก คือ การติดเชื้อเนื่องจากมีเนื้อเยื่อรกที่ตายค้างอยู่ในมดลูก ซึ่งอาจกลายเป็นโลหิตเป็นพิษ
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจร่างกาย อาจพบความดันโลหิตสูง ซีด ชีพจรเต้นเร็ว มือสั่น
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจฮอร์โมนเอชซีจี ในเลือดและปัสสาวะซึ่งจะพบว่ามีขนาดสูงกว่าที่พบในการตั้งครรภ์ปกติ
แพทย์จะทำการตรวจพิเศษ เช่น การตรวจอัลตราซาวนด์ การตรวจชิ้นเนื้อ
แพทย์จะทำการขูดมดลูก และให้ผู้ป่วยกินยาเม็ดคุมกำเนิดนาน 6 เดือนภายหลังการขูดมดลูก หรือทำการผ่าตัดมดลูกตามแต่สภาพของผู้ป่วย ถ้าอายุมากหรือมีบุตรเพียงพอ อาจทำการผ่าตัดเอามดลูกออก
หลังจากนั้น แพทย์จะนัดมาตรวจระดับเอชซีจีในปัสสาวะ และเอกซเรย์ปอดเป็นระยะ เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี เพื่อสังเกตว่าจะมีการกำเริบหรือกลายเป็นมะเร็งหรือไม่
ถ้าพบว่าระดับเอชซีจีไม่ลด หรือกลับเพิ่มขึ้น (ซึ่งแสดงว่าเป็น persistent gestational trophoblastic neoplasia) แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดมดลูก หรือเคมีบำบัด เช่น เมโทเทรกเซต (methotrexate), แดกติโนไมซิน (dactinomycin ), ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide), วินคริสทีน (vincristine) เป็นต้น หลังจากโรคทุเลา ผู้ป่วยที่ไม่ได้ตัดมดลูก ควรกินยาเม็ดคุมกำเนิดนาน 12 เดือน
ในรายที่กลายเป็นมะเร็งเยื่อรก (choriocarcinoma) แพทย์จะให้การรักษาด้วยเคมีบำบัดด้วยยาหลายชนิดร่วมกัน บางรายแพทย์อาจรักษาด้วยการผ่าตัด หรือรังสีบำบัดร่วมด้วย
ผลการรักษา สามารถรักษาให้หายขาดเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่มะเร็งเยื่อรก ถ้ายังไม่แพร่กระจายไปที่อื่นก็รักษาให้หายขาดได้แทบทุกราย
หากสงสัยหลังตั้งครรภ์พบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอด มดลูกโตเร็วกว่าปกติ ทารกในท้องไม่ดิ้น มีอาการแพ้คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง มีชิ้นเนื้อลักษณะคล้ายไข่ปลาอุกหลุดออกมาทางช่องคลอด หรือมีอาการของต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (เหนื่อยง่าย ใจสั่น) หรือครรภ์เป็นพิษ (ปวดศีรษะ ตามัว เท้าบวม) ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นครรภ์ไข่ปลาอุก ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการปวดท้อง มีเลือดออกทางช่องคลอด ซีด มีอาการเหนื่อยง่าย ใจสั่น ปวดศีรษะ ตามัว หรือเท้าบวม
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล
สำหรับผู้ที่เคยเป็นครรภ์ไข่ปลาอุก ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้ ควรปรึกษาแพทย์ในการวางแผนที่จะมีการตั้งครรภ์ที่ปลอดภัย แพทย์มักจะแนะนำให้คุมกำเนิดนาน 6-12 เดือนก่อนที่จะตั้งครรภ์ใหม่ และเมื่อตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์แต่เนิ่น ๆ แพทย์จะทำการตรวจอัลตราซาวนด์ให้เร็วขึ้นรวมทั้งการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อการวินิจฉัยความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นและให้การดูแลรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม
1. โรคนี้ถึงแม้จะพบได้ไม่บ่อยนัก แต่ถ้ามีอาการที่น่าสงสัย เช่น มดลูกโตเร็ว เลือดออกทางช่องคลอดกะปริดกะปรอย หรือแพ้ท้องรุนแรง ควรส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลให้แน่ใจ และถ้าเป็นโรคนี้จริง ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรักษากับแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง ก็มีทางรักษาให้หายขาดได้ (ถึงแม้จะกลายเป็นมะเร็งเยื่อรกก็ตาม) แต่ถ้ากลายเป็นมะเร็งเยื่อรกแล้วไม่ได้รักษาจริง ๆ จัง ๆ ก็อาจแพร่กระจายไปทั่วตัว เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้
2. หลังจากรักษาจนหายขาด ผู้ป่วยที่มีอายุไม่มากและยังไม่ได้ผ่าตัดมดลูก สามารถมีบุตรได้ใหม่ และโอกาสจะเป็นโรคนี้ซ้ำอีกมีน้อยมาก (ประมาณร้อยละ 1)