จากการศึกษาของศูนย์วิจัยคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่านิ่วกระเพาะปัสสาวะที่พบในภาคอีสานและภาคเหนือ มีสาเหตุจากการขาดสารฟอสเฟต ซึ่งมีมากในอาหารประเภทโปรตีน ร่วมกับการกินผักที่มีสารออกซาเลต (oxalate) สูง และดื่มน้ำน้อย ทำให้มีการสะสมของผลึกของสารแคลเซียมออกซาเลตในกระเพาะปัสสาวะ จนกลายเป็นก้อนนิ่วในที่สุด
นอกจากสาเหตุดังกล่าวแล้ว ในคนทั่วไปยังอาจพบนิ่วกระเพาะปัสสาวะร่วมกับภาวะอุดกั้นของท่อปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะหย่อน (cystocele) กระเพาะปัสสาวะไม่ทำงานเนื่องจากเป็นอัมพาต (neurogenic bladder) เป็นต้น
ก้อนนิ่วอาจมีขนาดแตกต่างกันไปตั้งแต่ขนาดเท่าเม็ดทรายจนถึงส้มโอ
เนื่องจากก้อนนิ่วลงไปอุดกั้นท่อปัสสาวะ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกระปรอย ปวดเบ่งคล้ายว่ายังถ่ายไม่สุด ปัสสาวะสะดุดและออกเป็นหยด
บางรายอาจปัสสาวะออกเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ หรืออาจถ่ายเป็นก้อนนิ่ว หรือเม็ดกรวดทรายเล็ก ๆ หรือปัสสาวะขุ่นขาวเหมือนมีผงแป้งปน
ถ้าก้อนนิ่วตกลงไปอุดกั้นท่อปัสสาวะ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องน้อยมาก ปัสสาวะไม่ออก และมีปัสสาวะคั่งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
มักทำให้มีอาการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะจากการติดเชื้อ ซึ่งถ้าปล่อยไว้เรื้อรังอาจกลายเป็นกรวยไตอักเสบและไตวายได้
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย
การตรวจร่างกายมักจะไม่พบสิ่งผิดปกติ ยกเว้นบางรายอาจพบปัสสาวะมีลักษณะเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการเอกซเรย์ ตรวจอัลตราซาวนด์ และถ้าจำเป็นอาจต้องใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (cystoscopy)
นอกจากแนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยแล้ว แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
1. แพทย์จะนำเอานิ่วออก ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
- การใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะ (transurethral cystolitholapaxy) เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ ใช้เครื่องมือทำให้นิ่วแตกละเอียดแล้วให้ปัสสาวะชะออกมา
- การใช้เครื่องสลายนิ่ว (extracorporeal shock wave lithotripsy/ESWL)
- การผ่าตัด สำหรับนิ่วก้อนใหญ่หรือใช้วิธีอื่นไม่ได้ผล
2. ในรายที่มีสาเหตุชัดเจน ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะหย่อน (cystocele)
ผลการรักษา เมื่อเอานิ่วออกมาได้ก็จะหายเป็นปกติ แต่ในรายที่มีสาเหตุของการเกิดนิ่วแล้วไม่ได้แก้ไข ก็อาจเกิดนิ่วก้อนใหม่ในเวลาต่อมาได้
หากสงสัย เช่น มีอาการขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกะปรอย ปัสสาวะสะดุดและออกเป็นหยด ปัสสาวะออกเป็นเลือดหรือสีน้ำล้างเนื้อ ถ่ายเป็นก้อนนิ่ว หรือเม็ดกรวดทรายเล็ก ๆ หรือปัสสาวะขุ่นขาวเหมือนมีผงแป้งปน ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นนิ่วกระเพาะปัสสาวะ ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
- มีอาการไข้ ขัดเบา ปัสสาวะกะปริดกะปรอย หรือปัสสาวะขุ่นหรือเป็นเลือด
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
- รับประทานอาหารประเภทโปรตีน (เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ซึ่งมีปริมาณของสารฟอสเฟตสูง
- ลดการกินผักที่มีสารออกซาเลต (เช่น ผักแพว ผักโขม ชะพลู ใบมันสำปะหลัง หน่อไม้ ผักสะเม็ด ผักกะโดน เป็นต้น)
- ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณวันละ 8-12 แก้ว (2-3 ลิตร) ระวังอย่าให้ร่างกายขาดน้ำ
- รักษาโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของนิ่วกระเพาะปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะหย่อน เป็นต้น
อาการขัดเบาหรือถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด นอกจากนิ่วแล้วยังอาจมีสาเหตุอื่น ๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากโต เนื้องอกหรือมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น (ตรวจอาการ "ปัสสาวะลำบาก/ปัสสาวะไม่ออกหรือออกน้อย/ปัสสาวะขัด/ปัสสาวะบ่อย") และ (ตรวจอาการ "ปัสสาวะขุ่น/มีสีผิดปกติ") เพิ่มเติม