
โรคนี้พบได้น้อยมาก พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
โรคนี้มีสาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
- ร่างกายขาดเอดีเอช เนื่องจากสมองสร้างฮอร์โมนนี้ได้น้อยกว่าปกติ ทำให้ไตมีการขับปัสสาวะออกมากกว่าปกติ ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากความผิดปกติในสมอง (เช่น การผ่าตัดบริเวณใกล้ต่อมใต้สมอง การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ เนื้องอกในบริเวณใกล้ต่อมใต้สมอง สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เป็นต้น) ถ้าพบในเด็กอาจเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ แต่บางรายก็อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุก็ได้
- ความผิดปกติของไตที่ไม่ตอบสนองต่อฤทธิ์ของฮอร์โมนเอดีเอช ทั้ง ๆ ที่ร่างกายไม่ได้ขาดฮอร์โมนชนิดนี้ ทำให้มีการขับปัสสาวะออกมากกว่าปกติ อาจเกิดจากโรคไตเรื้อรัง (เช่น กรวยไตอักเสบเรื้อรัง ภาวะไตวายเรื้อรัง โรคถุงน้ำไตชนิดหลายถุงหรือ polycytic kidney) บางรายอาจเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์
- ภาวะตั้งครรภ์ อาจทำให้รกมีการสร้างเอนไซม์ (ชื่อ vasopressinase) ซี่งไปทำให้ฮอร์โมนเอดีเอช (เวโซเพรสซิน) ของหญิงตั้งครรภ์ลดลง ทำให้เกิดอาการเบาจืดได้ ภาวะที่พบได้น้อยมาก มักเกิดอาการในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ และมักหายได้เองหลังคลอด
ส่วนมากจะตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติ
นอกจากในรายที่ดื่มน้ำได้น้อย อาจมีภาวะขาดน้ำรุนแรงหรือมีไข้
ในรายที่เป็นเบาจืดที่มีสาเหตุจากเนื้องอกในสมอง อาจมีอาการแสดงของการขาดฮอร์โมนตัวอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะพร่องฮอร์โมนไทรอยด์ ฮอร์โมนเพศ หรือฮอร์โมนต่อมหมวกไต เป็นต้น
แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจปัสสาวะ จะพบว่ามีความถ่วงจำเพาะต่ำ (< 1.010) ตรวจเลือด อาจพบระดับฮอร์โมนเอดีเอชต่ำ และอาจต้องทำการตรวจพิเศษ เช่น การทดสอบที่เรียกว่า “Water deprivation test”*
ในรายที่สงสัยมีสาเหตุเกี่ยวกับสมอง อาจต้องตรวจสมองด้วยการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ถ้าทราบสาเหตุชัดเจน และแก้ไขได้ ก็ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
ส่วนอาการปัสสาวะมาก ก็ให้ดื่มน้ำทดแทนให้เพียงพอ ในรายที่เป็นไม่รุนแรง อาจไม่จำเป็นต้องให้ยาแต่ในรายที่เป็นรุนแรง จำเป็นต้องให้ยาลดปริมาณและจำนวนครั้งของการถ่ายปัสสาวะ ดังนี้
- ถ้าเกิดจากร่างกายขาดเอดีเอช เนื่องจากสมองสร้างฮอร์โมนนี้ได้น้อยกว่าปกติ แพทย์จะรักษาด้วยยาเอดีเอช (เวโซเพรสซิน) สังเคราะห์ เช่น เดสโมเพรสซิน (desmopressin) ซี่งมีทั้งยาเม็ด ยาฉีด และยาพ่นจมูก
- ถ้าเกิดจากความผิดปกติของไตที่ไม่ตอบสนองต่อฤทธิ์ของฮอร์โมนเอดีเอช แพทย์จะแนะนำให้ลดปริมาณเกลือโซเดียมที่บริโภค หยุดยา (ถ้าพบว่าเป็นสาเหตุ) ถ้าจำเป็นแพทย์จะให้กินยาเม็ดไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (hydrochlorothiazide) ซึ่งแม้ว่าจะเป็นยาขับปัสสาวะ แต่มีฤทธิ์ ช่วยลดปริมาณปัสสาวะในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้) อาจให้ยาชนิดนี้เดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (เช่น อินโดเมทาซิน, ไอบูโพรเฟน, นาโพรซิน เป็นต้น)
- ถ้าเกิดจากภาวะตั้งครรภ์ แพทย์จะให้เดสโมเพรสซิน (desmopressin)
เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเบาจืด ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- ควรพกน้ำดื่มติดตัวไว้ตลอดเวลา และดื่มน้ำให้พอเพียง ระวังอย่าให้ขาดน้ำ
- ควรพกสมุดหรือบัตรประจำตัวที่ระบุถึงโรคที่เป็นและยาที่ใช้รักษา หากระหว่างเดินทางไปไหนมาไหน เกิดอาการฉุกเฉินรุนแรง แพทย์จะได้ให้การช่วยเหลือที่ถูกต้องและทันการณ์
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการอ่อนเพลีย ใจหวิวใจสั่น วิงเวียน หน้ามืด กระหายน้ำมาก ปากแห้ง เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ปวดกล้ามเนื้อ หรือเป็นตะคริว
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ยาหายหรือขาดยา หรือถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ควรหาทางป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำด้วยการดูแลตนเองและติดตามรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคทางจิต เช่น จิตเภท (schizophrenia) หรือผู้ที่มีความผิดปกติของกลไกควบคุมการกระหายน้ำ (thirst-regulating mechanism) ในสมองส่วนไฮโพทาลามัส ก็อาจทำให้มีอาการดื่มน้ำมากผิดปกติ เกิดอาการปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำบ่อย และปัสสาวะมีความถ่วงจำเพาะต่ำคล้ายโรคเบาจืดได้
2. โรคนี้เมื่อได้รับการรักษา อาการมักจะทุเลาได้ดีและสามารถดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ ส่วนจะต้องรักษานานเพียงใดย่อมขึ้นกับสาเหตุที่พบ บางรายอาจใช้เวลาไม่นานและหายขาดได้ แต่บางรายอาจต้องใช้ยารักษาไปจนตลอดชีวิต