![ท่อน้ำตาอุดตัน,ถุงน้ำตาอักเสบ](https://i0.wp.com/doctorathome.com/storage/content/75/7504320b1286fadc5f7ce7eae29b5dc2.jpg)
ท่อน้ำตาอุดตัน ในทารกอาจเกิดจากท่อน้ำตายังเปิดไม่ค่อยสมบูรณ์ หรือเกิดจากมีเยื่อเมือกและเซลล์ที่อยู่ในน้ำคร่ำขณะที่อยู่ในครรภ์มารดาเข้าไปอุดตันอยู่ภายในท่อน้ำตา หรือเกิดจากเยื่อตาขาวอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียขณะคลอด ทำให้มีขี้ตาลงไปอุด
ในผู้ใหญ่ การอุดกั้นของท่อน้ำตาอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น รูเปิดของท่อน้ำตาตีบแคบลงจากความเสื่อมตามอายุขัยที่มากขึ้น, การได้รับบาดเจ็บตรงกระดูกข้างจมูก, เยื่อตาขาวอักเสบเรื้อรัง, ไซนัสอักเสบเรื้อรัง, ติ่งเนื้อเมือกจมูก (nasal polyps), สิ่งแปลกปลอมในท่อน้ำตา, เนื้องอกหรือมะเร็งในบริเวณจมูก, การผ่าตัดตา จมูกหรือไซนัส, การใช้ยาหยอดตารักษาโรคต้อหิน, การได้รับรังสีบำบัดบริเวณศีรษะหรือใบหน้าเป็นต้น บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
ถุงน้ำตาอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น สแตฟีโลค็อกคัส, สเตรปโตค็อกคัส, ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากท่อน้ำตาอุดตันนาน ๆ
![ท่อน้ำตาอุดตัน,ถุงน้ำตาอักเสบ](https://doctorathome.com/storage/photos/shares/177.Nasolacrimal duct obstruction, Dacryocystitis/177-2-ถุงน้ำตาอักเสบ-หน้า943.jpg)
ท่อน้ำตาอุดตัน มีอาการน้ำตาไหลมาก จนเอ่อคลอเบ้าตาข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เกี่ยวกับการร้องไห้ หรือมีเรื่องเศร้าโศกเสียใจ ต้องคอยเช็ดน้ำตาบ่อย ๆ
ในทารกจะสังเกตว่ามีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นมาตั้งแต่เกิด และบางครั้งมีขี้ตาออกมาเป็นครั้งคราว
ถุงน้ำตาอักเสบ ในรายที่เป็นชนิดเฉียบพลัน จะมีไข้ มีตุ่มนูนตรงหัวตา เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา แล้วตุ่มนูนก็ยุบลง แต่ต่อมาก็กลับนูนขึ้นเช่นเดิมอีก ถ้าเป็นรุนแรงตุ่มนูนนั้นจะมีอาการปวดแดงร้อนคล้ายฝี ซึ่งอาจแตก มีน้ำตาและหนองไหลออกมา
![ท่อน้ำตาอุดตัน,ถุงน้ำตาอักเสบ](https://doctorathome.com/storage/photos/shares/177.Nasolacrimal duct obstruction, Dacryocystitis/177-1.jpg)
ถุงน้ำตาอักเสบ
ท่อน้ำตาอุดตัน ทำให้มีน้ำตาค้างและหมักหมมอยู่ที่ระบบน้ำตา กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค อาจทำให้เกิดเยื่อตาอักเสบ และถุงน้ำตาอักเสบ
ถุงน้ำตาอักเสบ หากได้รับการรักษา มักไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก อาจกลายเป็นถุงน้ำตาอักเสบเรื้อรัง (จะมีอาการน้ำตาและหนองไหลออกมาเรื้อรัง โดยไม่มีไข้ และไม่พบตุ่มนูนชัดเจน)
ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงอายู) และในทารกที่เป็นถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน (congenital acute dacryocystitis) อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อโรคลุกลามเข้าไปที่ตา ทำให้เยื่อตาขาวอักเสบ แผลกระจกตา เบ้าตาอักเสบ (orbital cellulitis ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้) นอกจากนี้ เชื้ออาจเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดฝีในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โลหิตเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่ร้ายแรง
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจเพิ่มเติมดังนี้
สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน การใช้นิ้วกดตรงหัวตาข้างสันจมูก จะพบว่ามีน้ำตาที่เป็นเมือกทะลักออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา
บางรายแพทย์จะใช้วิธีการหยอดน้ำสีเหลืองส้ม (ซึ่งเป็นสีเรืองแสง - fluorescein dye ที่ใช้ในการตรวจตา ไม่มีอันตราย) หยอดลงไปในตา ถ้าสีเหลืองระบายหายไปใน 2-3 นาที แสดงว่าท่อน้ำตาไม่มีการอุดตัน แต่ถ้าสีเหลืองยังคงค้างอยู่ที่ตา ก็บ่งชี้ว่าท่อน้ำตาข้างนั้นน่าจะมีการอุดตัน (วิธีนี้เรียกว่า "Dye disappearance test")
ในผู้ใหญ่บางราย แพทย์อาจทดสอบโดยการใช้เข็มเล็ก (ปลายตัดไม่คม) แยงลงไปทางรูเปิดของท่อน้ำตา แล้วใช้น้ำเกลือฉีดลงไป ถ้าผู้ป่วยรู้สึกถึงน้ำเกลือเค็ม ๆ ไหลลงคอ แสดงว่าท่อน้ำตาเป็นปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยมีท่อน้ำตาอุดตัน น้ำตาจะไหลเอ่อล้นกลับออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา
ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจทำการถ่ายภาพระบบทางเดินน้ำตาด้วยเอกซเรย์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดยการฉีดสารทึบแสง เพื่อตรวจดูตำแหน่งที่อุดตัน
สำหรับถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน จะตรวจพบตุ่มนูน ปวด แดง ร้อนที่หัวตา และอาจตรวจพบว่ามีไข้ร่วมด้วย เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา บางรายแพทย์อาจนำหนองไปตรวจหาเชื้อ
แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้
สำหรับเด็กเล็กที่เป็นโรคท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์มักจะแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการ (ซึ่งในทารกมักจะหายได้เองเมื่อท่อน้ำตาเจริญเต็มที่เมื่ออายุได้ 2-3 เดือน) หรือแนะนำให้พ่อแม่ทำการนวดบริเวณหัวตา (ตรงตำแหน่งของท่อน้ำตาที่อุดตัน) ซึ่งจะช่วยดันให้แผ่นพังผืดบาง ๆ ที่ขวางลิ้นเปิดปิดในท่อน้ำตาเปิดออก ประมาณร้อยละ 70-90 จะหายเป็นปกติได้เองภายใน 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง
ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ โดยตรวจพบมีขี้ตาเหลือง ๆ เขียว ๆ แพทย์จะให้ยาป้ายตาหรือยาหยอดตาที่มีตัวยาปฏิชีวนะร่วมด้วย
นอกจากนี้ แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการถ่างท่อน้ำตาด้วยการใช้อุปกรณ์แยงท่อน้ำตา หรือใส่ท่อที่มีบัลลูนตอนปลายแยงเข้าท่อน้ำตาแล้วเป่าบัลลูนให้ท่อน้ำตาขยาย หรือการใส่ท่อเล็ก ๆ (ที่ทำด้วยซิลิโคนหรือโพลิยูลีเทน) คาไว้ในท่อน้ำตานาน 3 เดือน เพื่อถ่างให้ท่อน้ำตาขยาย
หากไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่ (dacryocystorhinostomy)
สำหรับผู้ใหญ่ที่มีท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์จะรักษาด้วยการล้างท่อน้ำตา หากไม่ได้ผลก็จะทำการถ่างท่อน้ำตาด้วยเทคนิคต่าง ๆ หากไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่
และถ้าพบว่ามีสาเหตุชัดเจน ก็ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น รักษาโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไป
สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ (ตุ่มฝีขึ้นที่หัวตา) ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ ให้ยาแก้ปวดและยาป้ายตาหรือยาหยอดตาปฏิชีวนะ ถ้าอักเสบรุนแรงให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน) สัก 5-7 วัน ถ้าไม่ยุบหรือกลับเป็นซ้ำอีก แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ และทำการแก้ไขภาวะท่อน้ำตาอุดตัน
หากสงสัย เช่น มีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง มีอาการน้ำเอ่อคลอเบ้าตา มีตุ่มนูนตรงหัวตาซึ่งเมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นท่อน้ำตาอุดตัน หรือถุงน้ำตาอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีน้ำตาไหลมากขึ้น มีไข้สูง ถุงน้ำตาอักเสบบวมแดงมากขึ้น หรือเยื่อตาขาวอักเสบ (ตาแดง ตาแฉะ)
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก
ส่วนในผู้ใหญ่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดท่อน้ำตาอุดตันลงได้ ด้วยการป้องกันโรคเยื่อตาขาวอักเสบ (หมั่นล้างมือให้สะอาด อย่าเผลอขยี้ตา เป็นต้น) และรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ ไซนัสอักเสบ ติ่งเนื้อเมือกจมูก เป็นต้น)
สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ สามารถป้องกันด้วยการรักษาท่อน้ำตาอุดตันให้หายขาด
ผู้ที่มีน้ำตาไหลผิดปกติ นอกจากท่อน้ำตาอุดตันแล้วยังอาจเกิดจากขนตาเก* ควรซักถามอาการ และตรวจดูให้แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไร ก็ควรแนะนำผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์ทุกราย