1. โรคกังวลทั่วไป (generalized anxiety disorder/GAD) ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกกังวลมากเกินกว่าเหตุในหลาย ๆ เรื่องพร้อมกัน ร่วมกับอาการผิดปกติทางกายต่าง ๆ อย่างเรื้อรัง โดยไม่มีสาเหตุจากการเจ็บป่วยอื่น ๆ และการใช้ยาหรือสารเสพติด และไม่พบว่าเกิดจากสาเหตุจำเพาะอันใดอันหนึ่ง
2. โรคแพนิก (panic disorder) ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกกลัวอย่างรุนแรง โดยไม่มีเหตุกระตุ้นชัดเจน อาการจะเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่กำเริบได้บ่อย (ดู “โรคแพนิก” เพิ่มเติม)
3. โรคกลัว (phobias) ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกกลัวต่อสิ่งหรือสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างมากเกินกว่าเหตุ และไม่กล้าเผชิญกับสิ่งหรือสถานการณ์นั้น ๆ จนกระทบต่อการดำเนินชีวิต อาจมีลักษณะกลัวต่อสิ่งหรือสถานการณ์หนึ่ง ๆ อย่างจำเพาะ (specific phobia) เช่น กลัวสัตว์ต่าง ๆ (สุนัข งู คางคก แมลงสาบ) ที่สูง ที่แคบ ความมืด เชื้อโรค การโดยสารเครื่องบิน การเห็นเลือด การทำฟัน เป็นต้น หรือกลัวการเข้าสังคม (social phobia) เช่น งานเลี้ยงสังสรรค์ การพูดในที่ชุมชน เป็นต้น หรือกลัวการเข้าไปอยู่ในสถานที่ที่หลบออกได้ยากหรือรู้สึกลำบากใจเมื่อเกิดอาการแพนิก (agoraphobia) เช่น การอยู่ในฝูงชน ที่ชุมนุม หรือห้องประชุม เป็นต้น อาการมักเป็นอยู่นานอย่างน้อย 6 เดือน โรคนี้มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงวัยรุ่น
การรักษา ให้ยาทางจิตประสาทร่วมกับการทำจิตบำบัด และพฤติกรรมบำบัด โดยเฉพาะการให้เผชิญกับสิ่งหรือสถานการณ์ที่ผู้ป่วยกลัว (exposure therapy)
4. โรคย้ำคิดย้ำทำ (obsessive-compulsive disorder) ผู้ป่วยจะมีอาการคิดหรือทำอะไรซ้ำ ๆ โดยไม่มีเหตุผล จนมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เรื่องที่ย้ำคิดมักเป็นเรื่องไร้สาระ น่ากลัว หรือน่ารังเกียจ เช่น ความสกปรก ความรุนแรง การทำร้ายผู้อื่น อุบัติเหตุ เรื่องเพศ ลืมปิดประตู ลืมปิดไฟ เป็นต้น ส่วนอาการย้ำทำจะมีลักษณะทำอะไรซ้ำ ๆ เช่น ล้างมือ จัดสิ่งของให้เป็นระเบียบ นับสิ่งของ นับจังหวะก้าวที่เดิน ตรวจเช็กกลอนประตูหน้าต่าง สวิตช์ไฟหรือเตาแก๊ส เป็นต้น อาการมักเป็นอยู่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ โรคนี้มักมีอาการเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ตอนต้น การรักษาเช่นเดียวกับโรคกลัว
5. โรควิตกกังวลหลังเผชิญเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น สงคราม ภัยธรรมชาติ ถูกทำร้ายหรือข่มขืน อุบัติเหตุร้ายแรง เป็นต้น ผู้ป่วยจะมีอาการหวาดผวาอย่างรุนแรง มีความรู้สึกสิ้นหวัง คิดและฝันซ้ำ ๆ รวมทั้งลืมเหตุการณ์นั้น ๆ ผู้ป่วยมักมีอาการนอนไม่หลับ ตื่นเต้นตกใจง่าย อารมณ์แปรปรวน ขาดสมาธิ ความจำแย่ลง บางรายอาจมีประสาทหลอนร่วมด้วย ถ้ามีอาการเกิดขึ้นภายหลังเผชิญเหตุการณ์ภายใน 4 สัปดาห์ และมีอาการอยู่ไม่เกิน 1 เดือน แล้วทุเลาไปเอง เรียกว่า “Acute stress disorder” ซึ่งเป็นภาวะที่เป็นเพียงชั่วคราว แต่ถ้ามีอาการเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน เรียกว่า “Post- traumatic stress disorder” ซึ่งอาจเกิดอาการภายหลังเหตุการณ์ 1 สัปดาห์ หรือหลายปีต่อมา อาการมักเรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ เมื่อถูกกระตุ้นให้คิดถึงเหตุการณ์นั้น ๆ ผู้ป่วยมักจะมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการเห็นหรือคิดถึงเหตุการณ์นั้น ๆ การรักษาเช่นเดียวกับโรคกลัว
6. โรควิตกกังวลจากการพลัดพรากจากพ่อแม่หรือคนรัก มักพบกับเด็กอายุ 7-8 ปี ที่ต้องแยกจากพ่อแม่คนที่รักและผูกพันหรือคิดไปล่วงหน้าถึงเรื่องนี้ ทำให้เกิดภาวะวิตกกังวลอย่างรุนแรง ขัดขวางพัฒนาการของเด็กในการเรียนรู้ การเข้าสังคม หน้าที่การงาน ผู้ป่วยจะมีอาการกลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อพ่อแม่ (เช่น อุบัติเหตุ ถูกทำร้าย ถูกลักพาตัวไป) และไม่ยอมแยกจากพ่อแม่เวลาเข้านอนหรือไปโรงเรียน อาจมีอาการฝันร้ายเกี่ยวกับการพลัดพราก เมื่อต้องแยกจากพ่อแม่หรือคิดไปล่วงหน้าว่าจะต้องแยกจากกัน เด็กอาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดท้อง เด็กทีเป็นโรคนี้อาจมีโรควิตกกังวลชนิดอื่น (เช่น โรคกลัว) ร่วมด้วย การรักษาเช่นเดียวกับโรคกลัว
7. โรควิตกกังวลจากโรคทางกาย เช่น ศีรษะได้รับบาดเจ็บ โรคติดเชื้อของสมอง เนื้องอกสมอง โรคของหูชั้นใน โรคหัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงเกิน ภาวะโลหิตจาง เป็นต้น
8. โรควิตกกังวลจากแอลกอฮอล์ สารเสพติด และยา (เช่น กาเฟอีน แอมเฟตามีน โคเคน เอฟีดรีน ทีโอฟิลลีน ยาลดน้ำหนักบางชนิด ยาแก้ซึมเศร้าบางชนิด) และจากการถอนยากล่อมประสาท
9. โรควิตกกังวลจากความเครียดหรือปัญหาชีวิต เช่น ปัญหาครอบครัว การหย่าร้าง ปัญหาการเงิน ภาวะหนี้สิน ปัญหาการทำงาน หรือความสัมพันธ์กับผู้อื่น ปัญหาสุขภาพหรือการเจ็บป่วย เป็นต้น อาจทำให้เกิดอาการวิตกกังวล ซึ่งจะทุเลาเมื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ การรักษา ควรค้นหาสาเหตุและแก้ไข อาจให้ยากล่อมประสาทควบคุมอาการ
1. มีความรู้สึกวิตกกังวลมากเกินกว่าเหตุต่อหลาย ๆ เรื่อง (เช่น การเรียน การงาน ครอบครัว สุขภาพ เป็นต้น)
- กระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข หรือรู้สึกตื่นเต้น
- รู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนล้าง่าย
- ไม่มีสมาธิ หรือรู้สึกสมองว่างเปล่าคิดไม่ออก
- หงุดหงิด
- กล้ามเนื้อตึงเครียด (เช่น ปวดศีรษะ ปวดคอ เจ็บหน้าอก ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัว)
- มีปัญหาการนอน (เช่น หลับยาก หรือนอนกระสับกระส่าย)
- ให้ความมั่นใจแก่ผู้ป่วยว่า โรคนี้ไม่มีอันตรายร้ายแรง สามารถควบคุมอาการด้วยยาที่ใช้รักษาจนสามารถดำเนินชีวิตเป็นปกติสุขได้ และควรให้กำลังใจว่าโรคนี้ไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ป่วย แต่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง
- พบแพทย์เป็นประจำตามนัด และกินยาอย่างต่อเนื่อง อย่าปรับยาหรือหยุดยาเอง
- ดูแลสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายเป็นประจำ และผ่อนคลายความเครียดด้วยการทำสมาธิ ฝึกโยคะ
- หลีกเลี่ยงการเสพแอลกอฮอล์ สารเสพติด สารกระตุ้น กาเฟอีน ซึ่งอาจทำให้อาการแย่ลงได้
- เมื่อมีภาวะเครียด ควรหาทางพูดคุยระบายกับญาติหรือเพื่อนสนิท