โรคเรย์ซินโดรม (กลุ่มอาการเรย์) เป็นโรคที่มีความผิดปกติของตับร่วมกับสมอง ซึ่งเกิดขึ้นเฉียบพลันและรุนแรง แม้ว่าจะพบได้น้อย แต่มักจะเป็นอันตรายร้ายแรงถึงเสียชีวิตภายในเวลารวดเร็วได้ โรคนี้พบบ่อยในเด็กอายุ 4-16 ปี ในทารกและคนอายุ 19 ปีขึ้นไปพบได้น้อย
ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามักเป็นตามหลังโรคติดเชื้อไวรัส เช่น อีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัด เป็นต้น ส่วนใหญ่พบว่าการใช้แอสไพรินบรรเทาไข้ในผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มากขึ้น โดยยังไม่อาจอธิบายถึงกลไกของการเกิดโรคได้
มักเกิดหลังจากเริ่มมีอาการแสดงของโรคติดเชื้อไวรัส (ส่วนใหญ่ ได้แก่ อีสุกอีใส ไข้หวัดใหญ่ นอกนั้นเป็นไข้หวัด และโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ) ประมาณ 3-7 วัน หรือบางรายอาจนานถึง 3 สัปดาห์ ซึ่งอยู่ในช่วงที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการดีขึ้นหรือหายดีแล้ว แต่อยู่ ๆ กลับมีอาการไม่สบายใหม่ ด้วยอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่องอยู่ 1-3 วัน แล้วตามด้วยอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ซึม อยากนอน ต่อมาจะมีอาการกระสับกระส่าย มีพฤติกรรมก้าวร้าวหรือแปลก ๆ ไม่มีเหตุผล สับสน และในที่สุดจะเพ้อคลั่ง กรีดร้อง หมดสติ ชักเกร็ง อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน
อาจมีภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคลมชักต่อเนื่อง โรคเบาจืด เลือดออกในทางเดินอาหาร ภาวะการหายใจล้มเหลว ภาวะหัวใจวาย ไตวายเฉียบพลัน ตับอ่อนอักเสบ ปอดอักเสบจากการสำลัก (aspiration pneumonia) โลหิตเป็นพิษ เป็นต้น
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้
แพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล ให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น ปรับดุลสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ ให้ยาลดภาวะสมองบวม แก้ไขภาวะเลือดออกและความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด ใช้เครื่องช่วยหายใจ (ถ้าหายใจลำบาก) เป็นต้น รวมทั้งให้การรักษาภาวะแทรกซ้อนที่พบ
หากสงสัย เช่น หลังมีไข้และไข้ลงแล้ว กลับมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างต่อเนื่อง ซึม กระสับกระส่าย สับสน เพ้อคลั่ง กรีดร้อง ชักเกร็ง หรือหมดสติ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
1. ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ที่มีไข้หรือเป็นโรคติดเชื้อไวรัส ควรใช้พาราเซตามอลในการบรรเทาไข้ หลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน รวมทั้งยาแก้ปวดลดไข้ที่ไม่แน่ใจว่ามีแอสไพรินผสมหรือไม่
1. โรคนี้ไม่มีการแพร่กระจายติดต่อให้คนอื่น จะเกิดขึ้นกับเด็กบางคนเป็นการเฉพาะ แต่โรคติดเชื้อไวรัสที่ผู้ป่วยเป็นก่อนหน้าที่จะมีอาการของเรย์ซินโดรม อาจติดต่อได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำให้เกิดโรคนี้ตามมาเสมอไป
2. การวินิจฉัยได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มมีความสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้รักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น ถ้าพบว่าเด็กมีอาการอาเจียนอย่างต่อเนื่องเป็นวัน ๆ หลังจากเริ่มทุเลาจากไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ อีสุกอีใส หัด คางทูม หรือโรคติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ ก็ควรแนะนำให้ส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็ว และไม่ควรให้ยาแก้อาเจียน เพราะอาจบดบังอาการ ทำให้วินิจฉัยได้ไม่ชัดเจนหรือล่าช้าเกินไป