1. ไส้ติ่งอักเสบ ถือเป็นภาวะร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดฉุกเฉิน การรักษาทางยาไม่ว่ายากินหรือยาฉีด อาจระงับอาการได้ชั่วคราว และถ้าปล่อยไว้จนไส้ติ่งแตก ก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากในการรักษา อาจมีการติดเชื้อของแผลผ่าตัด เสียเงิน เสียเวลาอยู่โรงพยาบาล และเสี่ยงอันตรายมากขึ้น (มีอัตราตายร้อยละ 3 ในขณะที่ไส้ติ่งอักเสบที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนมีอัตราตายต่ำกว่าร้อยละ 0.1)
2. อาการปวดท้องน้อยข้างขวา นอกจากไส้ติ่งอักเสบแล้ว ยังอาจมีสาเหตุอื่น เช่น นิ่วท่อไต ปีกมดลูกอักเสบ ปวดประจำเดือน ครรภ์นอกมดลูก เป็นต้น ซึ่งจะมีลักษณะอาการแตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตามให้ยึดหลักว่า หากมีอาการปวดท้องติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมง หรือขยับเขยื้อนตัวหรือเอามือกดแล้วรู้สึกเจ็บตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา ไม่ว่าจะมีไข้หรือไม่ก็ตามควรสงสัยเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือภาวะร้ายแรงอื่น ๆ และต้องรีบไปพบแพทย์ที่อยู่ใกล้บ้านทันที อย่าคิดว่าเป็นเพียงอาการปวดท้องธรรมดา เช่น ปวดประจำเดือนซึ่งอาจเคยเป็นอยู่ประจำ
3. ผู้ป่วยโรคนี้อาจมีอาการต่าง ๆ กันไปได้หลายแบบ มากกว่าครึ่งหนึ่งที่อาจไม่มีอาการปวดท้องรอบ ๆ สะดือนำมาก่อน บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมกับท้องผูกหรือท้องเดินก็ได้ บางรายอาการปวดเจ็บท้องอาจอยู่นอกตำแหน่งท้องน้อยข้างขวา เนื่องจากไส้ติ่งอยู่ในตำแหน่งที่ผิดไปจากปกติ
ถ้ารู้สึกปวดท้องอยากถ่ายบ่อย ๆ แต่ถ่ายไม่ออกอย่านึกว่าเป็นอาการท้องผูกธรรมดา และห้ามทำการสวนอุจจาระหรือให้ยาระบาย เพราะอาจทำให้ไส้ติ่งแตกได้
ในระยะแรกผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดตรงใต้ลิ้นปี่หรือรอบ ๆ สะดือคล้ายอาการของโรคกระเพาะจึงควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากกินยาแก้โรคกระเพาะแล้วไม่ทุเลา กลับปวดรุนแรงขึ้น หรือย้ายมาปวดตรงท้องน้อยข้างขวา ก็ควรนึกถึงไส้ติ่งอักเสบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีอาการปวดท้องต่อเนื่องเกิน 6 ชั่วโมง
4. ผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบมักมีไข้ต่ำ ๆ หรือไม่มีไข้ ถ้าพบว่ามีไข้สูงอาจเกิดจากไส้ติ่งแตก หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น ไทฟอยด์ ปีกมดลูกอักเสบ กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน
5. วิธีตรวจดูอาการไส้ติ่งอักเสบอย่างง่าย ๆ ก็คือการใช้นิ้วมือกดเบา ๆ ตรงท้องน้อยข้างขวา ถ้าพบว่ามีอาการเจ็บปวดตรงบริเวณนั้นมาก ก็พึงสงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ดังนั้น ควรใช้วิธีนี้ตรวจดูผู้ที่มีอาการปวดท้องหรือท้องเดินทุกราย