*ตับอักเสบชนิดเฉียบพลัน ส่วนใหญ่เกิดจากไวรัสตับอักเสบ (hepatitis virus) ส่วนน้อยเกิดจากไวรัสชนิดอื่น เช่น คางทูม หัดเยอรมัน เริม ไวรัสไซโตเมกาโล เป็นต้น นอกจากไวรัสแล้ว ตับอักเสบยังอาจเกิดจากแอลกอฮอล์ ยา (เช่น ไอเอ็นเอช ไรแฟมพิซิน คีโตโคนาโซล อีริโทรไมซิน ยาลดไขมันกลุ่มสแตติน เป็นต้น) สมุนไพร (ขี้เหล็ก บอระเพ็ด) ทำให้มีอาการดีซ่าน ตับโต คล้ายโรคตับอักเสบจากไวรัส ซึ่งบางครั้งอาจแยกกันไม่ได้ชัดเจน อาจต้องทำการตรวจเลือดและตรวจพิเศษอื่น ๆ
ในปัจจุบันพบว่าไวรัสที่ทำให้เกิดโรคตับอักเสบมีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ที่สำคัญมีอยู่ 3 ชนิด ได้แก่
ส่วนน้อย (โดยเฉพาะในรายที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี) อาจเป็นเรื้อรังนานเกิน 6 เดือน เรียกว่า ตับอักเสบเรื้อรัง แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการตรวจชิ้นเนื้อตับ (liver biopsy) และการตรวจเลือดเพื่อดูสาเหตุ ความรุนแรง และภาวะแทรกซ้อน (เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ)
สำหรับไวรัสตับอักเสบชนิดบี แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัส เช่น ลามิวูดีน (lamivudine)
สำหรับไวรัสตับอักเสบชนิดซี แพทย์จะให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัส เช่น ไรบาไวริน (ribavirin), ยาสูตรผสม sofosbuvir/velpatasvir เป็นต้น
- พักผ่อนอย่างเต็มที่ ห้ามทำงานหนักจนกว่าจะรู้สึกหายเพลีย
- ดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณวันละ 10-15 แก้ว
- กินอาหารพวกโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ซุบ ถั่วต่าง ๆ) ให้มาก ๆ ส่วนอาหารมันให้กินได้ตามปกติ ยกเว้นในรายที่กินแล้วคลื่นไส้อาเจียนให้งด
- ถ้าเบื่ออาหารให้ดื่มน้ำหวานหรือน้ำตาลกลูโคส ถ้ากินอาหารได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำหวานหรือกลูโคสให้มากขึ้น อาจทำให้น้ำหนักเกินได้
- ถ้ามีอาการท้องอืดหรือคลื่นไส้ ควรงดอาหารมัน
- แยกสำรับกับข้าวและเครื่องใช้ส่วนตัวออกจากผู้อื่น
- ล้างมือหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
- งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- มีไข้สูง หรือมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- ปวดท้องมาก คลื่นไส้อาเจียน หรือกินไม่ได้
- อ่อนเพลียมากขึ้น หรือตัวเหลืองตาเหลืองมากขึ้น
- อาการไม่ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์
- หลังกินยาที่แพทย์แนะนำ มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
- มีความวิตกกังวล
สำหรับผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี ควรตรวจเลือดก่อน หากพบว่ามีภูมิคุ้มกันแล้วก็ไม่จำเป็นต้องฉีด
- ควรหลีกเลี่ยงการฉีดยา หรือให้น้ำเกลือโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นต้องฉีดยา ควรเลือกใช้เข็มและกระบอกฉีดยาที่ผ่านกรรมวิธีทำให้ปลอดเชื้อ
- ในการให้เลือดควรใช้เลือดที่ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี โดยการตรวจเช็กเลือดของผู้บริจาคทุกราย
-
หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด และแปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น และห้ามใช้อุปกรณ์ในการสักร่วมกับผู้อื่น
-
แพทย์ พยาบาล และบุคลากรสาธารณสุข ควรระมัดระวังในการสัมผัสถูกเลือดของผู้ป่วย เช่น สวมถุงมือขณะเย็บแผล ผ่าตัด หรือสวนปัสสาวะผู้ป่วย
- วัคซีนป้องกันตับอักเสบชนิดบี สำหรับทารกแรกเกิดทุกคน สถานบริการสุขภาพของรัฐจะฉีดวัคซีนชนิดนี้โดยไม่คิดมูลค่าตั้งแต่วันแรกที่เกิด วัคซีนชนิดนี้จะฉีดให้ 3 ครั้ง ครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 จะห่างจากครั้งแรก 1-2 เดือน และ 6 เดือนตามลำดับ
ผู้ที่เป็นพาหะอาจเกิดโรคตับแข็ง หรือมะเร็งตับแทรกซ้อน โดยมากมักจะเกิดกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสบีหรือซีจากมารดามาตั้งแต่เกิด แล้วเชื้อจะอยู่ในร่างกายจนย่างเข้าวัย 40-50 ปี ก็อาจเกิดผลแทรกซ้อนตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ดื่มแอลกอฮอล์ หรือตรากตรำงานหนัก