
บางรายมีความรู้สึกเหมือนมีน้ำค้างอยู่ในหูตลอดเวลา พยายามเอาไม้พันสำลีเช็ดออก แต่ยิ่งเช็ดก็กลับยิ่งอื้อ เพราะมักจะดันขี้หูเข้าลึกและอัดแน่นยิ่งขึ้น บางรายอาจมีอาการปวดหูหรือวิงเวียนร่วมด้วย
1. ถ้าส่องไฟดูหูแล้ว เห็นขี้หูค่อนข้างหลวม ไม่แน่นมาก แพทย์จะใช้ห่วงแคะหูหรือตะขอแคะขี้หูที่สะอาด ค่อย ๆ เขี่ยขี้หูออก
2. ถ้าเขี่ยไม่ออกหรือขี้หูแข็งจะใช้น้ำเกลือนอร์มัลหรือน้ำสะอาดผสมโซเดียมไบคาร์บอเนตที่มีอุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ฉีดล้างออก (หลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่มีอุณหภูมิต่ำหรือสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส อาจกระตุ้นให้เกิดอาการวิงเวียนได้) หรืออาจให้ผู้ป่วยใช้ยาละลายขี้หู หยอดหูบ่อย ๆ ซ้ำ ๆ นาน 3-5 วันก่อน แล้วค่อยใช้น้ำหรือน้ำเกลือฉีดล้างออก หรือใช้เครื่องมือช่วยนำเอาขี้หูออก
3. ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ จะให้การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะแบบเดียวกับหูชั้นนอกอักเสบ
เมื่อตรวจพบว่าเป็นขี้หูอุดตันรูหู ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลาใน 2-3 วัน
- มีอาการไข้ ปวดหูมากขึ้น หรือหูน้ำหนวกไหล
- ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
หากสงสัยว่าเกิดจากมีน้ำเข้าหูให้ลองตะแคงหูข้างที่มีอาการลงด้านล่าง แล้วเคาะที่ศีรษะเบา ๆ เพื่อให้น้ำระบายออกจากหู (ไม่ให้ใช้ไม้พันสำลีแยงหูเพื่อซับน้ำ อาจทำให้เกิดแผลถลอก หรืออาจดันให้ขี้หูเข้าลึกและอัดแน่นยิ่งขึ้นได้หากเกิดจากมีขี้หูอุดตันรูหู) ถ้าอาการหูอื้อไม่หายนานเป็นวัน ๆ หรือสงสัยว่าเกิดจากขี้หูอุดตันรูหู ควรปรึกษาแพทย์