มะเร็งอัณฑะ เป็นมะเร็งที่พบได้ค่อนข้างน้อย (ราวร้อยละ 2 ของมะเร็งทั้งหมด) พบมากในช่วงอายุ 15-35 ปี
ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้างเดียว ราวร้อยละ 5 เป็นทั้ง 2 ข้าง
ยังไม่ทราบชัดเจน พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่
- การมีประวัติเคยเป็นมะเร็งอัณฑะข้างหนึ่งมาก่อน
- การมีประวัติโรคมะเร็งอัณฑะในครอบครัว
- ภาวะอัณฑะไม่เลื่อนลงถุงอัณฑะและค้างอยู่ในช่องท้องหรือขาหนีบซึ่งเป็นมาแต่กำเนิด
- การติดเชื้อเอชไอวี
มีก้อนแข็งที่อัณฑะไม่เจ็บและโตเร็ว หรือรู้สึกปวดตื้อหรือถ่วง ๆ ที่อัณฑะ หรือปวดตรงท้องน้อยส่วนล่างหรือขาหนีบ มีเลือดเจือปนในน้ำอสุจิ บางรายอาจมีอาการนมโตและเจ็บ หรืออ่อนเพลียโดยไม่ทราบสาเหตุ
มะเร็งมักลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ช่องอก แอ่งเหนือไหปลาร้า และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), และสมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก)
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจอัลตราซาวนด์ ตรวจระดับแอลฟาฟีโตโปรตีน (alpha fetoprotein) และฮอร์โมนเอชซีจี (HCG) ในเลือดและปัสสาวะ (พบว่าสูงกว่าปกติ)
แพทย์จะทำการตรวจตัดชิ้นเนื้อเวลาทำการรักษาด้วยการผ่าตัด จะหลีกเลี่ยงการตัดเอาตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจโดยไม่จำเป็น เนื่องจากอาจมีผลแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด
แพทย์จะให้การรักษาโดยการผ่าตัด และให้รังสีบำบัด ส่วนในรายที่มะเร็งแพร่กระจาย ก็จะให้เคมีบำบัดร่วมด้วย
ผลการรักษา สำหรับมะเร็งชนิดนี้นับว่าดี และสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเนื่องเพราะส่วนใหญ่สามารถตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก
ถ้าพบในระยะแรกหรือก่อนมีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีมากกว่าร้อยละ 95
แม้เป็นมะเร็งระยะแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ก็มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีมากกว่าร้อยละ 70
หากสงสัย เช่น มีก้อนแข็งที่อัณฑะ, รู้สึกปวดตื้อหรือถ่วง ๆ ที่อัณฑะ, มีเลือดเจือปนในน้ำอสุจิ เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งอัณฑะ ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
- ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
- ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
- ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
- ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
- ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
- ขาดยาหรือยาหาย
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ และปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้เป็นส่วนใหญ่
1. โรคนี้สามารถตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก และสามารถรักษาให้หายขาดได้เป็นส่วนใหญ่ แนะนำให้หมั่นตรวจอัณฑะด้วยตนเองเดือนละครั้ง ดูว่ามีก้อนผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ โดยการใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ค่อย ๆ คลำเลื่อนไปเรื่อย ๆ จะช่วยให้ค้นพบมะเร็งระยะแรกได้
2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี