![มะเร็งต่อมลูกหมาก](https://i0.wp.com/doctorathome.com/storage/content/a2/a29ac840a0768ea19bc17553231f3092.jpg)
มะเร็งต่อมลูกหมาก พบมากเป็นอันดับที่ 5 ของมะเร็งในผู้ชาย มักพบในผู้ชายอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และพบมากขึ้นตามอายุ ส่วนในคนอายุต่ำกว่า 40 ปี อาจพบได้แต่น้อย
ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศชาย-แอนโดรเจน (androgen) ได้แก่ เทสโทสเทอโรน
พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ดังนี้
- ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ พบว่าถ้ามีพ่อหรือพี่น้องเป็นโรคนี้หรือมะเร็งชนิดอื่น (เช่น มะเร็งเต้านม มดลูก รังไข่ กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ถุงน้ำดี ไต กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น) มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าปกติ
- ภาวะอ้วน พบว่าผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่มีภาวะอ้วนมีโอกาสเป็นมะเร็งขั้นที่รุนแรงและยากที่จะให้การรักษา
มะเร็งชนิดนี้มักมีการลุกลามช้า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง จนกว่าก้อนโตมากจนเกิดภาวะอุดกั้นท่อปัสสาวะ ก็จะมีอาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะแบบเดียวกับต่อมลูกหมากโต รวมทั้งอาจมีอาการถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด
ในรายที่มะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดหลัง ซี่โครงหรือเชิงกราน (ถ้ามะเร็งแพร่ไปกระดูกหลัง ซี่โครงหรือเชิงกราน) เท้าบวม (ถ้าแพร่ไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณต้นขา)
![มะเร็งต่อมลูกหมาก](https://doctorathome.com/storage/photos/shares/มะเร็งต่อมลูกหมาก.png)
เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้ทางเดินปัสสาวะอุดกั้น (ปวดท้องน้อย ถ่ายปัสสาวะลำบากหรือถ่ายไม่ออก) โลหิตจางจากการเสียเลือด
เมื่อมะเร็งลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ ไส้ตรง เนื้อเยื่อในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ถ่ายปัสสาวะอุจจาระลำบาก ถ่ายปัสสาวะอุจจาระเป็นเลือด ท้องมาน) และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ)
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นโดยการใช้นิ้วตรวจทางทวารหนัก (digital rectal exam) และตรวจระดับพีเอสเอ (prostate specific antigen/PSA) ในเลือด (ปกติมีค่าไม่เกิน 4 นาโนกรัมต่อเลือด 1 มล.)
หากสงสัย เช่น ตรวจพบต่อมลูกหมากเป็นก้อนแข็งหรือขรุขระ หรือมีค่าพีเอสเอสูงกว่าปกติ ก็จะทำการตรวจเพิ่มเติม โดยทำการตรวจอัลตราซาวนด์ต่อมลูกหมากผ่านทางทวารหนัก (transrectal ultrasound/TRUS) และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (prostate biopsy)
หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด
แพทย์จะเลือกวิธีรักษาตามความรุนแรง ระยะของโรค และอายุของผู้ป่วย เช่น
- ผู้ป่วยที่มะเร็งยังจำกัดอยู่เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก และมีอายุต่ำกว่า 65 ปี หรือคาดว่าสามารถอยู่ได้นานเกิน 10 ปี มักจะทำการผ่าตัดต่อมลูกหมาก
- ผู้ป่วยที่มะเร็งยังจำกัดอยู่เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก แต่มีอายุมากหรือสุขภาพทรุดโทรม หรือปฏิเสธการผ่าตัด หรือผู้ป่วยที่มะเร็งเริ่มแพร่กระจายออกไปบริเวณรอบ ๆ ต่อมลูกหมาก มักให้รังสีบำบัด (ด้วยการฝังแร่หรือฉายรังสี)
- ผู้ป่วยที่มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วแล้วหรือค่าพีเอสเอเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือผู้ป่วยอายุน้อยที่เป็นมะเร็งชนิดร้ายแรง มักจะให้ฮอร์โมนบำบัด เพื่อควบคุมเทสโทสเทอโรนให้ลดลง ทำให้ก้อนมะเร็งฝ่อเล็กลง โดยการให้ยาต้านแอนโดรเจนชนิดเม็ด (anti-androgen เช่น flutamide, bicalutamide เป็นต้น) ฉีดยากระตุ้น luteinizing hormone-releasing hormone (LHRH agonists เช่น leuprorelin, goserelin) หรือโดยการผ่าตัดอัณฑะ (ที่สร้างเทสโทสเทอโรน) ออกไปทั้ง 2 ข้าง และอาจให้เคมีบำบัด และ/หรือรังสีบำบัดร่วมด้วย
- ผู้ป่วยที่มะเร็งมีขนาดเล็ก เจริญช้า จำกัดอยู่เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก หรือไม่มีอาการแสดง (พบจากการตรวจคัดกรอง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากสุขภาพทรุดโทรม หรือคาดว่าอยู่นานไม่ถึง 10 ปี มักจะไม่ให้การรักษาใด ๆ แต่จะเฝ้าติดตามดูการเปลี่ยนแปลงโดยการตรวจระดับพีเอสเอ และการใช้นิ้วตรวจทางทวารหนักเป็นระยะ ๆ ถ้าจำเป็นอาจทำการตรวจชิ้นเนื้อ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีชีวิตที่เป็นปกติสุขอยู่ได้เป็นเวลานาน เนื่องจากมะเร็งมีการลุกลามช้า ไม่คุ้มกับความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา เช่น กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น
หลังการรักษาไม่ว่าด้วยวิธีใด แพทย์จะติดตามตรวจระดับพีเอสเอเป็นระยะ ถ้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แสดงว่าโรคสงบหรือทุเลา แต่ถ้ามีค่าสูงขึ้นก็แสดงว่าโรคอาจกำเริบขึ้นอีก
โดยทั่วไปผลการรักษาค่อนข้างดี และสามารถรักษาให้มีชีวิตอยู่ยาวนาน (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีเกือบร้อยละ 100) เนื่องจากมะเร็งต่อมลูกหมากส่วนใหญ่เป็นมะเร็งที่มีการเจริญหรือลุกลามช้า
หากสงสัย เช่น มีอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดหลังเรื้อรัง น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
- ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
- ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
- ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
- ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
- ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี
- มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
- ขาดยาหรือยาหาย
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ถึงแม้มะเร็งชนิดนี้ป้องกันได้ยาก แต่การปฏิบัติตัวต่อไปนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรค และชะลอการลุกลามของโรค
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ลดอาหารมัน
- กินผัก ผลไม้ และเมล็ดธัญพืชให้มาก ๆ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ
1. ในปัจจุบันยังไม่แนะนำให้ทำการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในคนทั่วไปที่ไม่มีอาการโดยการตรวจพีเอสเอในเลือด เพราะยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่ามีประโยชน์ เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่ไม่มีอาการแสดงมักเป็นมะเร็งชนิดเจริญช้า ไม่แพร่กระจายออกนอกต่อมลูกหมาก และสามารถมีชีวิตที่เป็นปกติเป็นเวลายาวนาน นอกจากนี้ การตรวจคัดกรองโรคด้วยการตรวจพีเอสเอในเลือด* ยังขาดความแม่นยำ มีโอกาสพบผลบวกลวงค่อนข้างมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ไม่จำเป็น และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ
2. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาถึงผลดีผลเสียของการตรวจคัดกรองมะเร็งชนิดนี้
3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี
ถ้ามีค่าระหว่าง 4-10 นาโนกรัม/มล. อาจเป็นมะเร็งหรือไม่ใช่มะเร็งก็ได้
ถ้ามากกว่า 10 นาโนกรัม/มล. มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็งมักจะมีค่าต่ำกว่า 20 นาโนกรัม/มล.
ถ้ามีค่ามากกว่า 100 นาโนกรัม/มล. มักจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดแพร่กระจาย
ถ้ามีค่าพีเอสเอเพิ่มขึ้นปีละ 0.8 นาโนกรัม/มล. หรือมากกว่า อาจบ่งชี้ว่ากำลังมีมะเร็งเกิดขึ้น
ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากบางรายก็อาจมีค่าพีเอสเออยู่ในระดับปกติก็ได้