มะเร็งหลอดอาหาร เป็นมะเร็งที่พบได้น้อยกว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่และกระเพาะอาหาร
มะเร็งหลอดอาหารพบในภาคใต้มากกว่าภาคอื่น ๆ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3 เท่า พบมากในคนอายุ 55-65 ปี
ยังไม่ทราบแน่ชัด พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ได้แก่
- การดื่มสุราจัด
- การสูบบุหรี่
- การกินอาหารและเครื่องดื่มร้อนจัดเป็นประจำ
- การเป็นโรคกรดไหลย้อน
- เยื่อบุหลอดอาหารถูกทำลายด้วยน้ำกรด น้ำด่าง หรือน้ำยาล้างห้องน้ำ
- ภาวะอ้วน
- การกินผักและผลไม้น้อย
- เคยได้รับการฉายรังสีรักษามะเร็งที่บริเวณหน้าอกหรือช่องท้องมาก่อน
มีอาการกลืนลำบากเป็นอาการหลัก รู้สึกกลืนแล้วเจ็บหรือติดที่ตำแหน่งต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับคอจนถึงระดับลิ้นปี่ เริ่มด้วยการกลืนอาหารแข็ง (เช่น ข้าวสวย) ได้ลำบาก ต่อมากลืนอาหารอ่อน (เช่น ข้าวต้ม) ไม่ได้ จนในที่สุดแม้แต่กลืนน้ำก็ลำบาก ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักลดอย่างรวดเร็วเนื่องจากกินอาหารไม่ได้ อาจตรวจพบต่อมน้ำเหลืองที่คอหรือแอ่งไหปลาร้าโต หรืออาการที่เกิดจากมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ตับ ปอด
เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้หลอดอาหารอุดกั้น (กินอาหารดื่มน้ำไม่ได้ น้ำหนักลด) มีอาการเจ็บปวด มีเลือดออก (ทำให้โลหิตจาง) อาจทำให้มีอาการสำลักอาหารเข้าปอด ทำให้ปอดอักเสบได้
มะเร็งมักลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ที่คอ แอ่งเหนือไหปลาร้า และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), ตับ (เจ็บชายโครงขวา ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ) และอาจไปที่สมอง (ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ แขนขาชาและเป็นอัมพาต ชัก)
แพทย์จะวินิจฉัยโดยการเอกซเรย์หลอดอาหารโดยการกลืนแป้งแบเรียม (barium swallow หรือ esophagram) การใช้กล้องส่องตรวจหลอดอาหาร (upper endoscopy) และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจหาระดับสารบ่งชี้มะเร็ง (tumor marker) ได้แก่ สารซีอีเอ (carcinoembryonic antigen/CEA) ซึ่งมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยและการติดตามผลการรักษา
หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด
ถ้าพบระยะแรก แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับรังสีบำบัดและเคมีบำบัด ถ้าพบในระยะลุกลามก็จะให้รังสีบำบัดร่วมกับเคมีบำบัด
ผลการรักษา หากได้รับการตรวจพบและรักษาตั้งแต่ระยะแรก มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีมากกว่าร้อยละ 40
แต่ถ้าตรวจพบระยะที่มะเร็งลุกลามหรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 5-20
หากสงสัย เช่น มีอาการกลืนลำบาก รู้สึกกลืนแล้วเจ็บหรือติดที่ตำแหน่งต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับคอจนถึงระดับลิ้นปี่ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งหลอดอาหาร ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
- ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
- ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
- ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
- ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
- ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี
- มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
- ขาดยาหรือยาหาย
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลอดอาหาร ด้วยการปฏิบัติ ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการดื่มสุราจัด
- ไม่สูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการกินอาหารและเครื่องดื่มร้อนจัด
- กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
- ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
1. ผู้ที่มีอาการกลืนลำบากโดยไม่ทราบสาเหตุควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
2. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่นๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี