![มะเร็งปอด](https://i0.wp.com/doctorathome.com/storage/content/35/35e5c11df9d929d8c299caf549ac363f.jpg)
มะเร็งปอด พบมากเป็นอันดับที่ 2 ของมะเร็งในผู้ชาย และอันดับที่ 4 ของมะเร็งในผู้หญิง พบมากในช่วงอายุ 50-75 ปี มะเร็งปอดมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ มะเร็งปอดชนิดเซลล์เยื่อบุ (squamous cell carcinoma) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดและเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ มะเร็งปอดชนิดเซลล์ต่อมเมือก (adenocarcinoma) ซึ่งพบในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และชนิด small cell carcinoma ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ พบได้น้อยกว่าชนิดอื่น แต่มีความร้ายแรงสามารถแพร่กระจายเร็ว
ร้อยละ 80-90 เกิดจากการสูบบุหรี่ ยิ่งสูบมากและนานก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้มากขึ้น ร้อยละ 5 เกิดจากการรับควันบุหรี่จากผู้อื่น
อาจเกิดจากการสัมผัสสารใยหิน (แอสเบสตอส) จากการทำงาน เช่น การก่อสร้างอาคาร การทำงานที่เกี่ยวกับผ้าเบรก คลัตช์ ฉนวนกันความร้อน อุตสาหกรรมสิ่งทอ เหมืองแร่ เป็นต้น ซึ่งใช้เวลาสัมผัสนาน 15-35 ปีกว่าจะเป็นมะเร็งปอด ถ้าสูบบุหรี่ด้วยก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากการสัมผัสเรดอน (radon ซึ่งเป็นก๊าซกัมมันตรังสีที่เกิดจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนียมในหินและดิน กระจายอยู่ในอากาศและน้ำใต้ดิน อาจพบตามเหมืองใต้ดิน อาคารที่ใช้วัสดุก่อสร้างที่ปนเปื้อนก๊าซนี้) มลพิษทางอากาศ (เช่น ควันพิษจากรถยนต์) โรงงานถลุงเหล็กนิกเกิล โครเมียม แคดเมียม โรงงานน้ำมัน ดินน้ำมัน เขม่าจากโรงงาน การดื่มน้ำที่มีสารหนูเจือปน การกินผักและผลไม้น้อย
บางครั้งพบมะเร็งปอดในผู้ป่วยที่มีแผลเป็นในปอดจากโรคปอด เช่น วัณโรคปอด ถุงลมปอดโป่งพอง ภาวะเยื่อพังผืด (fibrosis) ในปอด เป็นต้น
บางรายอาจเป็นมะเร็งปอดโดยไม่มีประวัติการสูบบุหรี่หรือการสัมผัสสารก่อมะเร็งมาก่อนก็ได้
ผู้ที่มีพ่อแม่พี่น้องเป็นมะเร็งปอดมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากกว่าปกติ
ระยะแรกเริ่มจะไม่มีอาการ ต่อมาจะมีอาการไอเรื้อรัง อาจไอมีเลือดปนเสมหะ หรือไอออกเป็นเลือดสดจำนวนมาก (หากมะเร็งลามถูกหลอดเลือด) หายใจมีเสียงดังวี้ด (หากหลอดลมถูกอุดกั้นจากก้อนมะเร็ง) หรือเจ็บหน้าอกเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุชัดเจน (หากลามไปที่เยื่อหุ้มปอด หรือกระดูกซี่โครง) อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
ต่อมาผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หายใจหอบเหนื่อย (จากภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด) และอาจมีปอดอักเสบแทรกซ้อน
![มะเร็งปอด](https://doctorathome.com/storage/photos/shares/มะเร็ง/237.6-มะเร็งปอดระยะแรก-มะเร็งปอดระยะท้าย-หน้า1163.jpg)
มะเร็งปอดที่เป็นรุนแรงอาจทำให้มีอาการเจ็บปวดมาก หายใจหอบเหนื่อย ไอออกเป็นเลือดรุนแรง
หากมะเร็งลามไปยังอวัยวะข้างเคียง ก็อาจมีอาการเสียงแหบ กลืนลำบาก ปวดแขน แขนชาและอ่อนแรง หนังตาตกและรูม่านตาหดเล็กข้างหนึ่ง มีอาการบวมที่ใบหน้า คอ และหน้าอกส่วนบน หัวใจเต้นผิดจังหวะ
ในระยะท้าย มะเร็งมักจะลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอหรือแอ่งไหปลาร้า และอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมอง (มีอาการปวดศีรษะ สับสน ชัก) ตับ (ตับโต ตาเหลืองตัวเหลือง ท้องมาน) ไขสันหลัง (ขาชาและอ่อนแรง) กระดูก (ปวดกระดูก) เป็นต้น
บางครั้งผู้ป่วยอาจมาปรึกษาแพทย์ด้วยอาการที่มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะเหล่านี้มากกว่าอาการของมะเร็งปอดโดยตรง (ไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด)
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการเอกซเรย์ปอด การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ การตรวจหาเซลล์มะเร็งในเสมหะ การใช้กล้องส่องตรวจหลอดลม (bronchoscopy) การใช้เข็มเจาะเนื้อปอดนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (needle biopsy)
หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน- PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด
แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัด รังสีบำบัด เคมีบำบัด อิมมูนบำบัด และ/หรือการใช้ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drugs) ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดและระยะของมะเร็งที่พบ
เนื่องจากมะเร็งปอดมักจะลุกลามเร็วและวินิจฉัยได้ในระยะที่มะเร็งแพร่กระจายออกนอกปอดแล้ว มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีต่ำกว่าร้อยละ 10 (โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดที่เรียกว่า small cell carcinoma ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 25 ของมะเร็งปอดทั้งหมด มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 2) การรักษาจึงเป็นเพียงการประทังอาการซึ่งมักจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงระยะหนึ่ง
นอกจากในรายที่ตรวจพบในระยะแรก ๆ หรือเป็นชนิดที่ลุกลามช้าหรือตอบสนองต่อการรักษา ก็อาจอยู่ได้นานหลายปี (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีประมาณร้อยละ 50-90)
หากสงสัย เช่น ไอหรือเจ็บหน้าอกเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ ไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอด ควรดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
- หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
- ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
- ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
- ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
- ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
- ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
- มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
- ขาดยาหรือยาหาย
- ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลเต็มที่ แต่อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดด้วยการปฏิบัติ ดังนี้
- ไม่สูบบุหรี่
- เลิกบุหรี่สำหรับผู้ที่เคยสูบ หากสามารถเลิกได้ก็จะลดความเสี่ยงลงได้มาก แม้จะสูบมานานก็ตาม
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสควันบุหรี่ สารใยหิน มลพิษทางอากาศ และรังสีเรดอน (radon)
- หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ
- กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ
1. มะเร็งปอดแม้จะพบบ่อยในผู้ที่สูบบุหรี่ แต่ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ ดังนั้นทุกคนไม่ว่าจะมีประวัติสูบบุหรี่หรือไม่ก็ตาม หากมีอาการที่น่าสงสัย เช่น ไอหรือเจ็บหน้าอกเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ ไอเป็นเลือด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์
2. ปัจจุบันยังไม่มีวิธีตรวจหามะเร็งปอดระยะแรกที่ได้ผลดี ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่รอให้มีอาการแสดงชัดแล้วค่อยไปพบแพทย์ให้ตรวจรักษา ซึ่งมักจะเป็นระยะที่มะเร็งมีการลุกลามแล้ว และรักษาได้ผลไม่สู้ดี ดังนั้นควรหาทางป้องกันด้วยการไม่สูบบุหรี่หรือเลิกบุหรี่ และหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง
3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี